ตอนนี้คอลูกหนังอาจจะรู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง หลังจากที่ฟุตบอลลีกดังในยุโรปฤดูกาล 2010-11 ได้รูดม่านปิดฉากกันไปหมดแล้ว
ทว่าเรายังคงไม่หยุดสรรหาเรื่องราวที่น่าสนใจในวงการฟุตบอลมาฝากกัน และครั้งนี้ก็เป็นเรื่องของนักเตะที่ลงเล่นให้กับสโมสรเดียวอย่างยาวนานจน กลายเป็นตำนานของกองเชียร์ (One-Club Man)
(แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, 1987 - ปัจจุบัน) แม้จะอายุปาเข้าไป 37 ปีแล้ว แต่ปีกพ่อมดก็ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ "ปีศาจแดง" คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ไปครอง ซูเปอร์สตาร์ชาวเวลส์ ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของยูไนเต็ด และเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2011 เขาก็ทำลายสถิติผู้เล่นที่ลงเล่นในลีกมากที่สุดให้กับสโมสรของเซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ด้วยการลงเล่นนัดที่ 607 ในเกมที่พบกับลิเวอร์พูล กิ๊กส์ ถือเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการลูกหนังอังกฤษ หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 12 สมัย, แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย และลีก คัพ อีก 3 สมัยด้วย
(เซาแธมป์ตัน, 1986 - 2002) ถึงจะไม่เคยประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ใดๆ กับสโมสร แต่ เลอ ทิสซิเอร์ ก็ถือเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวรุกที่ดีที่สุดในโลก และเขาก็เป็นผู้เล่นขวัญใจของ ชาบี เอร์นานเดซ เพลย์เมกเกอร์บาร์เซโลน่าด้วย อดีตกัปตันทีมนักบุญรายนี้ มีทักษะในเชิงลูกหนังที่เป็นเลิศและเคยได้รับความสนใจจากหลายทีมรวมถึง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และ เชลซีด้วย แต่เขาก็ไม่เคยคิดตีจากสโมสร จนได้รับการยกย่องจากแฟนบอลเซาแธมป์ตันว่าเป็นเหมือนพระเจ้าของทีมเลยที เดียว และนั่นก็เป็นที่มาของสมญานาม "Le God" เลอ ทิสซิเออร์ เป็นมิดฟิลด์ที่ทำประตูในพรีเมียร์ลีกได้เกิน 100 ลูกเป็นคนแรก (ส่วนใหญ่จะมาจากฟรีคิกสุดสวยและลูกจุดโทษที่เขายิงพลาดหนเดียวจาก 49 ครั้ง) ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดด้วยสถิติลงเล่น 540 นัดและทำไป 210 ประตูให้ทีมนักบุญ (รวมทุกถ้วย)
(มิลาน, 1985 - 2009)เจ้าของเหรียญแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 สมัย เป็นเครื่องการันตีความยิ่งใหญ่ของยอดกองหลัง "รอสโซเนรี่" รายนี้ได้เป็นอย่างดี มัลดินี่ ถือเป็นฮีโร่ของกองเชียร์มิลานมาอย่างยาวนานและสถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งในผู้ เล่นที่ดีที่สุดของสโมสร จากการลงสนามในทีมชุดใหญ่ไปกว่า 900 นัดตลอดช่วงเวลา 25 ปีที่อยู่ในถิ่นซาน ซิโร่ (ไม่นับช่วงที่เล่นให้ทีมเยาวชนอีก 7 ปี) "Il Cappitano" หรือยอดกัปตัน เป็นนิคเนมที่สาวกปีศาจแดง-ดำ พร้อมใจกันยกย่องมัลดินี่ ที่ยืนตำแหน่งได้ดีทั้งเซนเตอร์ฮาล์ฟและแบ็กซ้าย และเมื่อเขาตัดสินใจรีไทร์ในปี 2009 มิลาน ก็ได้ยกเลิกเสื้อหมายเลข 3 เพื่อเป็นการให้เกียรติต่อ มัลดินี่ ด้วย
(โรม่า, 1992 - ปัจจุบัน)"เจ้าชายหมาป่า" เป็นหัวใจสำคัญของโรม่ามาร่วม 2 ทศวรรษ และ ต๊อตติ ก็ยังคงยืนหยัดที่จะรับใช้สโมสรบ้านเกิดต่อไป แม้ว่าจะพลาดโอกาสย้ายไปเล่นให้ทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปที่เคยตามเกี้ยวมานานอ ย่างเรอัล มาดริด ก็ตาม ต๊อตติ คือกัปตันทีมผู้พา "หมาป่าเหลือง-แดง" คว้าสคูเด็ตโต้มาครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี เมื่อปี 2001 ซึ่งเวลานั้นมี ฟาบิโอ คาเปลโล่ เป็นกุนซือ และแม้จะถูกวิจารณ์ว่าฟอร์มตกลงไปบ้าง แต่ในวัย 34 ปี ต๊อตติ ก็ยังคงเป็นฮีโร่สำหรับกองเชียร์โรม่าอยู่เสมอ และเมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งจะลงเล่นในลีกเกินกว่า 600 นัดให้กับสโมสรด้วย เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมา ต๊อตติ เหมาคนเดียว 2 ประตูในเกมที่พบกับ บารี่ และนั่นทำให้เขาแซงหน้า โรแบร์โต้ บาจโจ้ ขึ้นไปอยู่ที่ 5 ในทำเนียบดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของเซเรีย อา ที่ 206 ประตู
(อาร์เซน่อล, 1983 - 2002) อดีตเซนเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติอังกฤษ ลงเล่นให้กับ "ปืนใหญ่" เกือบ 700 นัด และแม้ว่าจะมีทั้งช่วงเวลาที่รุ่งเรืองและตกต่ำตลอดระยะเวลา 22 ปีที่อยู่กับสโมสร แต่โดยรวมแล้วถือว่า อดัมส์ เป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งของอาร์เซน่อลอย่างไร้ข้อโต้ แย้ง อดัมส์ เคยมีปัญหาติดสุราเรื้อรังแต่เขาก็สามารถเอาชนะมันมาได้ และนอกจากความสำเร็จนอกสนามแล้ว ประตูที่กัปตันทีมรายนี้ทำได้ในเกมที่พบกับเอฟเวอร์ตันในนัดสุดท้ายของฤดู กาล 1997-98 ที่สนามไฮบิวรี่ ก็ช่วยให้อาร์เซน่อลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครอง อดีตกองหลังจอมแกร่งรายนี้ ช่วยพา "ปืนใหญ่" คว้าแชมป์ลีกสูงสุด 4 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย และคัพ วินเนอร์ส คัพ อีก 1 สมัยด้วย
(ยูเวนตุส, 1993 - ปัจจุบัน) ว่ากันว่า อเล็กซ์ คือนักเตะที่ดีที่สุดที่เคยสวมชุดลายทางขาว-ดำของยูเวนตุส เพราะหลังจากที่เลื่อนชั้นขึ้นมาจากทีมเยาวชนในวัย 18 ปี เขาก็กลายเป็นกำลังสำคัญในทีมชุดใหญ่ของ "ม้าลาย" ได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีใครสงสัยถึงทักษะในเชิงลูกหนังอันยอดเยี่ยมของเขา เพราะทั้งในระดับสโมสรและกับทีมชาติอิตาลี เดล ปิเอโร่ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคือผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสอย่างแท้จริง หลังจากที่ช่วยพา "ม้าลาย" คว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา 5 สมัย (ไม่รวมในฤดูกาล 2004-05, 2005-06 ที่ยูเว่ถูกริบแชมป์จากความผิดฐานพัวพันการล้มบอล), ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, โคปปา อิตาเลีย. ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ, อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ และ อินเตอร์โตโต้ คัพ อีกอย่างละ 1 สมัย อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในทีม "อัซซูรี่" ชุดคว้าแชมป์โลก 2006 ด้วยยุโรปและฟุตบอลโลกด้วย ในวัย 36 ปี เดล ปิเอโร่ ลงเล่นให้ยูเวนตุสไปแล้วเกือบ 700 นัด และทำประตูได้เกือบ 300 ประตู จากการค้าแข้งกับยักษ์ใหญ่แห่งตูรินเป็นเวลา 18 ปี และฤดูกาลหน้าเราก็ยังจะได้เห็นกัปตันทีม "ม้าลาย" วาดลวดลายในเซเรีย อา ต่อไป
(บาร์เซโลน่า, 1998 - ปัจจุบัน) ถ้าถามถึงมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลกเวลานี้ เชื่อว่าชื่อของ ชาบี คงผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายๆ คน แม้ความเก๋าอาจจะไม่มากเท่าต๊อตติ หรือ เดล ปิเอโร่ แต่เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติสเปน ก็ประสบความสำเร็จไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ถึงจะรูปร่างค่อนข้างเล็ก แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการช่วยให้บาร์ซ่ากลายเป็นทีมหมายเลข 1 ของวงการลูกหนังในเวลานี้ เพราะการจ่ายบอลและการอ่านเกมที่ชาญฉลาดของเขาของเขาช่วยให้กองหน้าอย่างลี โอเนล เมสซี่ ทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง ชาบี ในวัย 31 ปี ลงเล่นให้ยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลันไปแล้วกว่า 500 นัด และคว้าแชมป์ลา ลีก้า กับทีมไปแล้ว 6 สมัย, แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 3 สมัย, โคปา เดล เรย์, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และแชมป์สโมสรโลกอีกอย่างละ 1 สมัย รวมถึงแชมป์ยุโรปและแชมป์ฟุตบอลโลกกับสเปนด้วย
(เรอัล มาดริด, 1912 - 1927) การนำชื่อของเขามาตั้งเป็นชื่อสนามเหย้าของ "ราชันชุดขาว" คงจะเป็นการบ่งบอกได้ดีว่า เบอร์นาเบว คือตำนานของเรอัล มาดริดอย่างแท้จริง ในช่วงต้นทศวรรษ 1900 ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว คือผู้เข้ามาเปลี่ยนแปลงเรอัล มาดริดให้กลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในวงการลูกหนังสเปนและยุโรป ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งประธานสโมสรระหว่างปี 1943-1978 แม้ว่าจะไม่มีการจดสถิติอย่างเป็นทางการว่าอดีตหัวหอกชาวสแปนิชทำ ประตูไว้มากเท่าใด แต่ความยิ่งใหญ่ของเขาก็เป็นที่เลื่องลือในแดนกระทิงดุอย่างยาวนาน
(มิลาน, 1977 - 1997) ไม่มีใครเถียงว่าบาเรซี่ คือหนึ่งในเซนเตอร์ฮาล์ฟที่ดีที่สุดของอิตาลี ทั้งที่มีความสูงเพียง 174 ซม. (จนเป็นที่มาของฉายา Piscinin หรือเจ้าตัวเล็กในภาษาอิตาเลียน) และยิ่งเมื่อมี มัลดินี่ เป็นกองหลังร่วมกันแล้ว ก็ทำให้แนวรับของมิลานเหนียวแน่นจนยากที่ใครจะเจาะเข้าไปได้ ตลอดระยะเวลาที่ค้าแข้งในถิ่นซาน ซิโร่ มานาน 2 ทศวรรษ บาเรซี่ ลงเล่นให้ "รอสโซเนรี่" ไปกว่า 700 นัด และช่วยให้ทีมคว้าสคูเด็ตโต้ไปครองได้ถึง 6 สมัยและยูโรเปี้ยน คัพ อีก 3 สมัยด้วย
(อินเตอร์, 1979-1999) ปราการหลังตัวกลางของรายนี้คือเจ้าของสถิติผู้เล่นที่ลงสนามให้อินเตอร์ มากที่สุดตลอดกาลที่ 757 นัด ตลอดช่วงเวลา 20 ปีที่ค้าแข้งอยู่กับสโมสร แม้ว่าความสำเร็จในเรื่องของเหรียญแชมป์อาจจะไม่มากเท่าบาเรซี่ หรือ มัลดินี่ แต่ แบร์โกมี่ ก็ถือว่าเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟชั้นแนวหน้าของโลกคนหนึ่งและนอกจากจะคว้าแชมป์ลี กสูงสุด 1 สมัยและยูฟ่า คัพ อีก 3 สมัยแล้ว แบร์โกมี่ ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมชาติอิตาลีชุดคว้าแชมป์โลกปี 1982 ด้วย
(ดินาโม มอสโก, 1949-1971) "เจ้าแมงมุมดำ" เป็นสมญานามของผู้รักษาประตูที่ว่ากันว่าดีที่สุดตลอดกาล ความสำเร็จของเลฟ ยาชิน คือการช่วยให้ดินาโม มอสโก คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอดีตสหภาพโซเวียตถึง 5 สมัย แม้ว่าลีกหมีขาวจะไม่เป็นที่นิยมในต่างแดน แต่แฟนบอลก็ได้รู้จักและเห็นฝีมือของนายทวารจอมหนึบรายนี้จากการที่เขาได้ลง เฝ้าเสาให้อดีตสหภาพโซเวียตในศึกฟุตบอลโลกถึง 3 สมัย (1958, 1962, 1966) และถึงจะไม่ได้ช่วยให้ทีมชาติคว้าแชมป์มาครอง และผลงานการโชว์ฟอร์มซูเปอร์เซฟของเขาก็ทำให้กลายเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้
(แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, 1994 - 2011) ในยุครุ่งๆ นักเตะหัวแดงรายนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่มีพรสวรรค์ที่ดีที่สุดคน หนึ่งของอังกฤษเลยทีเดียว และไม่น่าแปลกใจที่สาวก "ปีศาจแดง" จะรู้สึกเสียดายที่เห็น สโคลส์ ตัดสินใจแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาล 2010-11 จุดเด่นของสโคลส์ ที่นอกเหนือไปจากความขยันแล้ว ก็คงจะเป็นการอ่านเกมและจ่ายบอลที่ยอดเยี่ยม และนั่นก็ช่วยให้ยูไนเต็ดกลายเป็นทีมที่ดีที่สุดของอังกฤษในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเขาคว้าแชมป์ลีกกับทีมไป 10 สมัย, แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 3 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย และแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย อดีตกองกลางทีมสิงโตคำราม เคยได้รับความสนใจจากหลายสโมสรชั้นนำในยุโรป แต่เขาก็ยังยืนหยัดที่จะค้าแข้งในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดต่อไป จนกระทั่งอำลาการค้าแข้งอาชีพพร้อมกับสถิติลงสนามมากกว่า 650 นัด ในทุกถ้วย และทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่ลงสนามให้สโมสรมากที่สุดเป็นอันดับ 4
(แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, 1992 - 2011) เช่นเดียวกับสโคลส์, เนวิลล์ ตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปีนี้หลังจากที่ใช้เวลาตลอดการค้าแข้งอาชีพในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด มาเกือบ 20 ปี ยูไนเต็ดได้จัดเทสติโมเนียลแมตช์ให้เขาเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการรวมพลชุดปี 1992 ที่ประกอบด้วยฟิล เนวิลล์ น้องชาย, เดวิด เบ็คแฮม, นิคกี้ บัตต์, สโคลส์ และ กิ๊กส์ ที่ลงเล่นเป็นตัวจริง แต่ทีมพ่ายให้ยูเวนตุสไป 1-2 อาจจะไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า เนวิลล์ผู้พี่ คือแบ็กขวาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก การประสานงานที่รู้ใจของเขากับอดีตเพื่อนร่วมทีมอย่างเบ็คแฮม ทำให้เกมรุกฝั่งขวาของ "ปีศาจแดง" มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก โดยอดีตกัปตันทีมยูไนเต็ด ลงเล่นให้สโมสรไปกว่า 600 นัดและคว้าแชมป์รายการสำคัญๆ รวมกันแล้วถึง 19 รายการ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆ กับทีมชาติอังกฤษ
(ลิเวอร์พูล, 1998 - ปัจจุบัน) "สตีวี่ จี" คือนักเตะลูกหม้อของหงส์แดงมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ก่อนที่จะได้ประเดิมสนามในทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปี 1998 และพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของสโมสรดังเช่นปัจจุบัน แม้จะไม่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ เจอร์ราร์ด คือกัปตันทีมผู้พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2005 ด้วยการเฉือนชนะจุดโทษมิลาน ในรอบชิงชนะเลิศอันแสนคลาสสิคที่อิสตันบูล อีกทั้งยังอยู่ในทีมชุดแชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ 2 สมัย, ยูฟ่า คัพ 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ อีก 2 สมัยด้วย มิดฟิลด์จอมยิงไกลเกือบเคยทำร้ายจิตใจเหล่าเดอะ ค็อปเมื่อมีข่าวว่าจะย้ายไปเล่นให้เชลซีหลังจากที่คว้าแชมป์ยุโรปได้หมาดๆ แต่สุดท้าย เจอร์ราร์ด ก็เลือกที่จะเล่นให้อยู่ในถิ่นแอนฟิลด์ต่อไป
(แวร์เดอร์ เบรเมน, 1978-1995) ไม่เพียงแต่จะใช้ชีวิตตลอดการค้าแข้งกับเบรเมนเท่านั้น ชาฟ ยังเป็นกุนซือให้สโมสรที่เขารักมาตั้งแต่ปี 1999 และนั่นทำให้เขาเป็นโค้ชที่คุมสโมสรเดียวนานที่สุดในบุนเดสลีก้าด้วย ชาฟ ซึ่งเคยเล่นในตำแหน่งกองหลังก็ถือเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเยอรมัน โดยเขาช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีก 2 สมัย นอกจากนั้นยังช่วยให้ "เจ้านกนางนวล" ได้ถาดแชมป์บุนเดสลีก้ามาครองในปี 2004 ในฐานะโค้ชด้วย และนั่นก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาจึงเป็นตำนานของสโมสรอย่างแท้จริง ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 6/5/2011 3:23:25 PM
|
Labels: