เอฟเวอร์ตัน Vs ลิเวอร์พูล ดูสด


คริสตัล พาเลซ 2 - 0 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน

คริสตัล พาเลซ 2 - 0 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน
คริสตัล พาเลซ 2 - 0 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน
พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 18:45 • Selhurst Park, London
ผู้ตัดสิน: J. Moss • ผู้ชม: 24033


1-0 แยนนิค โบลาซีย์ น.68, 2-0 โยฮัน กาบาย น.89

ซันเดอร์แลนด์ 2 - 2 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

ซันเดอร์แลนด์ 2 - 2 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ซันเดอร์แลนด์ 2 - 2 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 21:00 • Stadium of Light, Sunderland
ผู้ตัดสิน: N. Swarbrick • ผู้ชม: 42932

1-0 สตีเวน เฟลทเชอร์ น.10, 2-0 เฌเรเมน เลนส์ น.22, 2-1 คาร์ล เจนกินสัน น.46, 2-2 ดิมิทรี ปาเยต์ น.60

นอริช ซิตี้ 1 - 2 เลสเตอร์ ซิตี้


นอริช ซิตี้ 1 - 2 เลสเตอร์ ซิตี้
นอริช ซิตี้ 1 - 2 เลสเตอร์ ซิตี้

พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 21:00 • Carrow Road, Norwich, Norfolk
ผู้ตัดสิน: ม. แคล็ทเทนเบิร์ก • ผู้ชม: 27067


0-1 เจมี วาร์ดี น.28, 0-2 เจฟฟรี ชลุปป์ น.47, 1-2 ดิเมอร์ซี เบซัว น.68

เชลซี 1 - 3 เซาแธมป์ตัน

เชลซี 1 - 3 เซาแธมป์ตัน
เชลซี 1 - 3 เซาแธมป์ตัน
พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 23:30 • Stamford Bridge, London
ผู้ตัดสิน: R. Madley • ผู้ชม: 41642

10' WILLIAN 1-0 // 44' STEVEN DAVIS 1-1 // 60' SADIO MANE 1-2 // 73' GRAZIANO PELLE 1-3

'นักบุญแดนใต้' เซาแธมป์ตัน โชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงบุกปราบ เชลซี ถึงเดอะบริดจ์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี จากการเรียงหน้ายิงของ สตีเวน เดวิส, ซาดิโอ มาเน และ กราเซียโน เปลเล

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เชลซี 1-3 เซาแธมป์ตัน


ศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เกมคู่สุดท้ายของวัน เชลซี อันดับ 16 มี 8 แต้ม เปิด สแตมฟอร์ด บริดจ์ พบกับ เซาแธมป์ตัน อันดับ 11 มี 9 แต้ม เกมนี้ ราดาเมล ฟัลเกา ได้ออกสตาร์ทตัวจริงแทน ดิเอโก กอสตา ที่ยังติดโทษแบนอยู่ ส่วนทีมเยือนมี กราเซียโน เปลเล เป็นตัวความหวังพังประตู

เริ่มเกมมา 9 นาที เชลซี ได้ประตูนำแบบไม่คาดฝันจากลูกฟรีคิกริมเส้นฝั่งซ้าย วิลเลียน เปิดย้อยเข้ามาแต่น้ำหนักดีมุดสามเหลี่ยมเข้า 1-0 ขณะที่ นาที 15 เซาแธมป์ตัน หวิดตีเสมอทันควัน ดูซาน ทาดิช เห็น สตีเวน เดวิส วิ่งเติมมาทางขวาเลยจ่ายออกให้แต่ยิงบอลเข้าข้างตาข่าย

นาที 25 เจ้าบ้านจะเอาลูกที่สอง เชส ฟาเบรกาส ผ่านมาให้ ออสการ์ ได้หลุดไปยิงในเขตโทษ แต่ มาร์เทน สเตเคเลนเบิร์ก เซฟทัน จากนั้นเกมผ่านมาเรื่อย ๆ นาที 41 เซาแธมป์ตัน มาหวาดเสียว ซาดิโอ มาเน โยนไปให้ ไรอัน เบอร์ทรานด์ หวดด้วยซ้ายแต่ติดเซฟ แอสเมียร์ เบโกวิช

แต่แล้วท้ายครึ่งแรก “นักบุญแดนใต้” กลับตีเสมอได้สำเร็จ นาที 43 กราเซียโน เปลเล เปิดเข้ามา สตีเวน เดวิส ได้บอลหน้าปากประตูก่อนวอลเลย์เสียบเสาอย่างสวย และจบครึ่งแรกไปด้วยผลเสมอ 1-1

กลับมาเล่นในครึ่งหลังทั้งสองทีมต่างเปลี่ยนแปลงผู้เล่นฝั่งละ 1 ราย โดยเจ้าถิ่นถอดเอา รามิเรส ออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง เนมานยา มาติช กลับมาคุมแดนกลางอีกครั้ง ขณะที่ฝั่งทีมเยือนส่งเอา เจมส์ วอร์ด-พราว ลงมาทำหน้าที่แทน โอริโอล โรเมอู

โดยเปิดฉากมาเพียง 3 นาที เซาแธมป์ตัน เริ่มหาโอกาสทักทายก่อนอย่างรวดเร็ว จากลูกที่ ดูซาน ทาดิช เบิ้ลจากริมเส้นฝั่งซ้ายเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ ซาดิโอ มาเน ล้มตัวชาร์จด้วยขวา แต่ว่า อัสมีร์ เบโกวิช ยังปฏิกิริยาไวพุ่งออกมาตัดบอลออกไปได้อย่างหวุดหวิด

กระทั่งนาทีที่ 60 กลายเป็นผู้มาเยือนที่พลิกขึ้นนำได้สำเร็จ จากจังหวะที่ แกรี่ เคฮิลล์ จับบอลไม่ดีจนถูก ดูซาน ทาดิช ฉกบอลไปได้ ก่อนไหลให้ กราเซียโน เปลเล แทงต่อขึ้นหน้าให้ ซาดิโอ มาเน พลิกหนีการประกบของ จอห์น เทอร์รี เข้าไปในกรอบเขตโทษ แล้วเลือกแปเน้นๆติดตัว อัสมีร์ เบโกวิช แต่ด้วยความแรงทำให้บอลทะลักเข้าไปจมก้นตาข่าย ช่วยให้เซาแธมป์ตันพลิกขึ้นนำเป็น 2-1

นาทีที่ 72 เซาแธมป์ตัน มาทำประตูหนีห่างเป็น 3-1 จากจังหวะที่ ซาดิโอ มาเน ใช้ความเร็วอันจัดจ้าน กระชากจากแดนตัวเองขึ้นหน้า ก่อนไหลให้ กราเซียโน เปลเล แตะหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวาแล้วตั้งป้อมซัดด้วยขวาเช็ดเสาไกลเข้าไปอย่างเฉียบขาด

นาทีต่อมา โชเซ มูรินโญ ทำช็อคแฟนบอลเจ้าถิ่น หลังถอดเอา เนมานยา มาติช ที่เพิ่งถูกเปลี่ยนลงสนามเมื่อต้นครึ่งหลังออกไปพักที่ม้านั่งสำรอง แล้วจัดการส่ง โรอิก เรมี กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสลงมาหวังทวงประตูคืน

จากนั้นแม้แชมป์เก่าพยายามโหมบุกอย่างหนักหวังทำประตูที่ 2 ให้ได้เร็วที่สุด แต่ก็เจาะแนวรับอันแข็งแกร่งของ เซาแธมป์ตัน ไม่เข้า ทำให้จบเกม เซาแธมป์ตัน บุกเอาชนะ เชลซี ไปแบบสุดมัน 3-1 เก็บสามแต้มสำคัญ ขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 9 ของตาราง โดยมี 12 คะแนนเท่ากับ เอฟเวอร์ตัน และ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส แต่ลูกได้เสียน้อยกว่าสองทีมนั้นอยู่ 1 ประตู

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เชลซี - แอสเมียร์ เบโกวิช, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, แกรี เคฮิลล์, จอห์น เทอร์รี, เซซาร์ อัสปิลิกูเอตา, เชส ฟาเบรกาส, รามิเรส, ออสการ์, เอเดน ฮาซาร์ด, วิลเลียน, ราดาเมล ฟัลเกา
เซาแธมป์ตัน - มาร์เทน สเตเคเลนเบิร์ก, เซดริก ซัวเรซ, โชเซ ฟอนเต, เวอร์จิล ฟาน ไดก์, ไรอัน เบอร์ทรานด์, สตีเวน เดวิส, ซาดิโอ มาเน, ดูซาน ทาดิช, วิคเตอร์ วานยามา, โอริโอล โรเมอู, กราเซียโน เปลเล

เอเอฟซี บอร์นมัธ 1 - 1 วัตฟอร์ด


เอเอฟซี บอร์นมัธ 1 - 1 วัตฟอร์ด
เอเอฟซี บอร์นมัธ 1 - 1 วัตฟอร์ด

พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 21:00 • Vitality Stadium, Bournemouth, Dorset
ผู้ตัดสิน: M. Oliver • ผู้ชม: 11187


1-0 กเล็น เมอร์เรย์ น.28, 1-1 โอเดียน อิกฮาโล น.45

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 6 - 1 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 6 - 1 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 6 - 1 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 21:00 • Etihad Stadium, Manchester
ผู้ตัดสิน: K. Friend • ผู้ชม: 53850

18' MITROVIC 0-1 // 42' AGUERO 1-1 // 49' AGUERO 2-1 // 51' AGUERO 3-1 // 54' KEVIN DE BRUYNE 4-1 // 60' AGUERO 5-1 // 62' AGUERO 6-1

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
แมนเชสเตอร์ ซิตี 6-1 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด


หัวหอกฟ้าขาวโชว์ฟอร์มสุดสะเด่าเหมาคนเดียว 5 ประตู ช่วยให้ แมนฯซิตี้ เปิดบ้านถล่ม นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ขาดลอย พร้อมกลับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงชั่วคราว

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำสัปดาห์ที่ 8 ที่สนามเอติฮัต สเตเดียม ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนเกมรั้งอันดับ 2 ของตาราง เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ก่อนเกมรั้งอันดับ 19 ของตาราง

มานูเอล เปเยกรินี เฮ้ดโค้ช แมนฯ ซิตี้ หมดสิทธิ์ใช้งานแกนหลักที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บหลายราย ไม่ว่าจะเป็น แว็งซองต์ กอมปานี (กัปตันทีม), กาแอล กลิชี, ยาย่า ตูเร่ และ ซามิร์ นาสรี ทำใหเกมนี้ เอเลียเควียม ม็องกาลา ไดโอกาสลงมาจับคู่กับ นิโคลัส โอตาเมนดี้ ในตำแหน่งคู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟ ส่วนแดนกลางใช้ เฟอร์นันโด ประสานงานกับ แฟร์นันดินโญ โดยให้ เซร์คิโอ อเกวโร ยืนค้ำหน้าไล่ล่าตาข่ายเช่นเคย

ขณะที่ นิวคาสเซิล ของกุนซือ สตีฟ แม็คคลาเรน หมดสิทธิ์ใช้งาน แจ็ค โคลแบ็ค กองกลางตัวรับคนสำคัญที่เจ็บน่อง ทำให้ โยฮัน กุฟฟร็อง ปีกเฟรนซ์แมนวัย 29 ปีได้โอกาสลงมาเล่นแทน นอกนั้นยังเป็นผู้เล่นชุดเดิมจากเกมนัดล่าสุด ที่เปิดบ้านเสมอกับ เชลซี 2-2 นำโดย ทิม ครูล (ผู้รักษาประตู), ฟาบริซิโอ โคลอชชินี, เวอร์นอน อนิต้า, อโยเซ เปเรซ และ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช

เริมเกมไม่ถึงนาที นิวคาสเซิล ฉวยโอกาสเปิดฉากทักทายอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ นิโคลัส โอตาเมนดี้ แนวรับของ แมนฯซิตี้ โหม่งสกัดไม่ดีมาเข้าทาง มุสซา ซิสโซโก้ ฮาร์ฟวอลเลย์ดวยขวาแบบไม่ต้องจับจากระยะประมาณ 25 หลา บอลพุ่งผ่านเสาแรกออกหลังไปแบบได้ลุ้นทีเดียว

ถัดมานาทีที่ 7 เจ้าบ้านเริ่มหาโอกาสทักทายบ้าง จากจังหวะที่ เควิน เดอ บรอยน์ ปั่นฟรีคิกด้วยขวาระยะประมาณ 25 หลา บอลกำลังจะมุดเสียบเสาแรกอยู่แล้ว แต่ว่าถูก ทิม ครูล พุ่งปัดออกไปได้ ก่อนบอลชลมุนในกรอบเขตโทษพักใหญ่ และเป็น อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช กองหน้าของ นิวคาสเซิล ต้องลงมาช่วยเคลียร์ทิ้งออกไปได้ทัน

แต่แล้วนาทีที่ 18 กลายเป็นทีมเยือนที่มาทำประตูออกนำไปก่อน จากจังหวะที่ เอเลียเควียม ม็องกาลา แนวรับ แมนฯซิตี้ สกัดไม่พ้นกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายเข้าทาง จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ดีดไซร้ก้อยเข้ากลางให้ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช พุ่งขวิดเน้นๆเต็มศรีษะ ส่งบอลสวนตัว โจ ฮาร์ท เข้าไปนอนจมก้นตาข่าย ช่วยให้นิสคาสเซิลขึ้นนำ 1-0

หลังจากเสียประตูไป ทำให้ แมนฯซิตี้ โหมบุกอย่างหนัก และในนาทีที่ 33 พวกเขามาได้โอกาสลุ้นประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ ลากตัดจากฝั่งขวาเข้ากลาง ก่อนไหลออกไปทางฝั่งซ้ายให้ เซร์คิโอ อเกวโร ตวัดยิงหักข้อด้วยซ้ายบริเวณหัวกระโหลก บอลพุ่งผ่านเสาไกลออกไปนิดเดียว

นาทีที่ 37 แมนฯซิตี้ มาได้โอกาสลุ้นตีเสมออีกครั้ง จากจังหวะที่ ดาบิด ซิลบา เปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้าไปในกรอบเขตโทษ และเป็น ฟาบริซิโอ โคลอชชินี แนวรับ นิวคาสเซิล โหม่งสกัดออกมาเข้าทาง แฟร์นันดินโญ ฮาร์ฟวอลเลย์ด้วยขวาแบบไม่ต้องจับจากระยะประมาณ 25 หลา บอลพุ่งเฉี่ยวเสาไกลออกไป

ท้ายครึ่งแรกนาทีที่ 42 เจ้าบ้านมาตามตีเสมอจนได้ จากจังหวะที่ ดาบิด ซิลบา บรรจงหยอดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายให้ แฟร์นันดินโญ โหม่งชงเข้ากลางให้ เซร์คิโอ อเกวโร พุ่งตอปิโดบกโขกจ่อๆไม่ถึง 3 หลาเข้าไปไม่เหลือ ช่วยให้แมนฯซิตี้ตีเสมอเป็น 1-1 พร้อมกับจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังแวบเดียว นาที 48 ซิตี พลิกขึ้นนำ 2-1 จังหวะ เซร์คิโอ อกูเอโร ได้บอลแล้วยิงแฉลบแนวรับทีมเยือนเข้าไป เท่านั้นไม่พอ นาที 50 ดาวยิงทีมชาติอาร์เจนตินา ก็มาจัดแฮตทริกจนได้ เควิน เดอ บรุนย์ จ่ายอย่างแม่นให้เจ้าตัวหลุดไปชิปบอลหนี ทิม ครูล หนีห่าง 3-1

ประตูของ เรือใบสีฟ้า เริ่มไหลเป็นน้ำ นาที 54 เฆซุส นาบาส เปิดเข้ามาให้ เควิน เดอ บรุนย์ วอลเลย์ย้อยเสียเสาไกลทิ้งเป็น 4-1 ไม่พออีก นาที 60 จังหวะสวนกลับ ดาบิด ซิลบา แทงทะลุให้ เซร์คิโอ อกูเอโร ล็อกหนึ่งจังหวะแล้วปั่นเสียบเสาไกลสวย ๆ ซิตี ไปไกลแล้ว 5-1

นาที 62 วิบากกรรมของ นิวคาสเซิล ยังไม่จบเมื่อเสียลูกที่ 6 เป็น “กุน” อีกแล้ว ที่จับบอลต่อจาก เควิน เดอ บรุนย์ แล้วจัดการพังลูกที่ 5 ให้เจ้าบ้านฉีก 6-1 ขณะที่ ซิตี เปลี่ยนตัวสำรองลงมา นาที 76 เคลเลชี อิเฮียนาโช เกือบพังลูกที่ 7 ให้ทีมได้แต่ ทิม ครูล ไม่พลาดป้องกันอีก

ท้ายเกมไม่มีประตูอีกแล้ว จบเกม ทีมของ มานูเอล เปเยกรินี ปูพรมถล่ม นิวคาสเซิล ครึ่งโหล เก็บเพิ่มเป็น 18 แต้ม แซง “ผีแดง” ขึ้นเป็นจ่าฝูง 1 วัน ส่วน “สาลิกาดง” สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นจมอยู่ท้ายตารางเหมือนเดิม

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ - โจ ฮาร์ท, พาโบล ซาบาเลตา, อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ, เอเลกิม มองกาลา, นิโคลัส โอตาเมนดี, เฟร์นานโด, ราฮีม สเตอร์ลิง, เควิน เดอ บรุนย์, ดาบิด ซิลบา, แฟร์นานดินโญ, เซร์คิโอ อกูเอโร
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด - ทิม ครูล, ฟาบริซิโอ โคลอชชินี, ชานเซล เอ็มเบ็มบา, ดาริล แยนมัต, เควิน เอ็มบาบู, จอร์จินิโอ ไวจ์นาดุม, มุสซา ซิสโซโก, วูร์นอน อานิตา, โยฮัน กุฟฟรอง, อาโยเซ เปเรซ, อเล็กซานดรา มิโตรวิช

แอสตัน วิลลา 0 - 1 สโต๊ค ซิตี้

แอสตัน วิลลา 0 - 1 สโต๊ค ซิตี้
แอสตัน วิลลา 0 - 1 สโต๊ค ซิตี้
พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 21:00 • Villa Park, Birmingham
ผู้ตัดสิน: M. Jones • ผู้ชม: 33189

50' ARNAUTOVIC 0-1

สถิติ"ผี"ข่ม"ปืน"ก่อนศึกบิ๊กแมตช์

"ปิศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด สถิติเหนือกว่า "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล ในการดวลกันทุกรายการ รวมถึง 5 นัดหลังสุด ขณะที่ อาร์เซนอล มีผลงานในบ้านที่ดีกว่า ก่อนที่ทั้งสองทีมจะดวลศึกบิ๊กแมตช์ วันอาทิตย์นี้

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2015 ประจำวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2558 ระหว่างสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งวงการลูกหนังแดนผู้ดี เมื่อ อาร์เซนอล ทีมอันดับ 4 แข่ง 7 นัด มี 13 คะแนน จะเปิดสนามเอมิเรตส์ สเตเดียม ต้อนรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 1 แข่งเท่ากัน มี 16 คะแนน

โดยจากสถิติการพบกันของทั้งสองทีมในทุกรายการรวมทั้งหมด 211 ครั้ง
อาร์เซนอล ชนะ 74 ครั้ง
แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 88 ครั้ง
เสมอ 49 ครั้ง

สถิติการยิงประตูเมื่อพบกัน
อาร์เซนอล ยิงได้ 288 ประตู
แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงได้ 319 ประตู

สถิติการเจอกันที่บ้านของ อาร์เซนอล
อาร์เซนอล ชนะ 54 ครั้ง
แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 27 ครั้ง
เสมอกัน 19 ครั้ง

ผลการพบกัน 5 นัดหลังสุดของทั้งสองทีม
17 พ.ค. 2015 แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ อาร์เซนอล 1-1 พรีเมียร์ลีก
9 มี.ค. 2015 แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ อาร์เซนอล 1-2 เอฟเอ คัพ
22 พ.ย. 2014 อาร์เซนอล แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-2 พรีเมียร์ลีก
12 ก.พ. 2014 อาร์เซนอล เสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0 พรีเมียร์ลีก
10 พ.ย. 2013 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ อาร์เซนอล 1-0 พรีเมียร์ลีก

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 - 1 โวล์ฟบวร์ก


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 - 1 โวล์ฟบวร์ก

UEFA CHAMPIONS LEAGUE
1 ตุลาคม 2015 • 1:45 • Old Trafford, Manchester
ผู้ตัดสิน: ว. คาสไซ • ผู้ชม: 7481


4' CALIGIURI 0-1 // 34' MATA (PEN.) 1-1 // 53' CHRIS SMALLING 2-1

ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบแรก กลุ่ม B
แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 โวล์ฟสบวร์ก


มิดฟิลด์สแปนิชกลายเป็นพระเอกในเกมนี้ หลังยิง 1 จ่าย 1 พาปีศาจแดงพลิกจากที่โดนหมาป่าเมืองเบียร์นำไปก่อน แซงกลับมาเอาชนะได้หวุดหวิด

หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือเจ้าบ้าน ปรับทัพจากเกมลีกล่าสุดที่ถล่มซันเดอร์แลนด์ 3-0 เพียงแค่รายเดียวเท่านั้น คือ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ที่ได้โอกาสยืน 11 คนแรกแทน ไมเคิล คาร์ริค ซึ่งบาดเจ็บและไม่มีชื่อแม้แต่ตัวสำรองด้วย ด้านแนวรุกยังเป็นสี่ประสานหน้าเดิมทั้ง ฆวน มาต้า, เมมฟิส เดปาย, เวย์น รูนีย์ และ อ็องโตนี มาร์กซิยาล

ด้านทีมเยือนของ ดีเตอร์ เฮคคิงก์ เปลลี่ยนตัวผู้เล่นจากนัดก่อนในบุนเดสลีกาที่เปิดบ้านเสมอฮันโนเวอร์ 1-1 แค่หนึ่งรายเช่นเดียวกัน คือ แม็กซิมิเลียน อาร์โนลด์ ที่ได้โอกาสลงเป็นตัวจริงแทน อังเดร ชูร์เล โดยจะฝากความหวังในแนวรุกไว้ที่กองหน้าตัวเป้าอย่าง บาส ดอสท์ ซึ่งจะประสานร่วมกับ ดาเนียล คาลิกูรี และ ยูเลียน แดร็กซ์เลอร์

เริ่มเกมได้เพียง 4 นาทีเท่านั้น เสียงเชียร์ของเหล่าเร้ดส์ อาร์มีในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดกลับต้องเงียบกริบ เมื่อโวล์ฟสบวร์กสามารถพังประตูขึ้นนำได้อย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ มักซ์ ครูเซ ไหลเข้าช่องให้ คาลิกูรี หลุดกับดักล้ำหน้าไปยิงสวนตัว ดาบิด เด เฮอา เข้าไป ส่งให้ทีมเยือนบุกมานำ 1-0

ถัดมานาทีที่ 12 แมนฯยูฯเกือบจะตีเสมอได้ จากจังหวะที่ มัตเตโอ ดาร์เมียน เปิดบอลจากกราบซ้ายเข้าเขตโทษให้ มาต้า ได้ปั่นด้วยซ้าย บอลจะโค้งเสียบเสาไกลอยู่แล้ว แต่ยังโดน ดานเต้ พุ่งโหม่งทิ้งข้ามคานไปหวุดหวิด

จากนั้นนาทีที่ 25 ปีศาจแดงมีโอกาสอีกครั้ง จากจังหวะที่ มาร์กซิยาล กระชากหนี ริคาร์โด้ โรดริเกวซ ไปสุดเส้นหลังฝั่งขวาก่อนจะผ่านเข้ากลางให้ รูนีย์ แปโด่งข้ามคานไปแบบน่าผิดหวัง

แต่แล้วในนาทีที่ 34 เจ้าบ้านก็มาได้จุดโทษ จากจังหวะที่ คาลิกูรี เจตนาทำแฮนด์บอลในกรอบ 18 หลา ก่อนจะเป็น มาต้า รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด ทำให้สกอร์กลับมาเท่ากันอีกครั้งที่ 1-1 ก่อนจะจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

เข้าสู่ครึ่งหลังปีศาจแดงตัดสินใจแก้เกมทันที ด้วยการเปลี่ยนตัวสำรองคนแรก ส่ง แอชลีย์ ยัง ลงมายืนเป็นแบ็คขวาแทน อันโตนิโอ วาเลนเซีย จนกระทั่งนาทีที่ 53 ก็มาพลิกขึ้นนำจนได้ จากจังหวะที่ มาต้า ใช้ความสามารถเฉพาะตัว จ่ายดีดลูกส้นกลับหลังกลางอากาศให้ คริส สมอลลิง หลุดกับดักล้ำหน้าพุ่งชาร์จจ่อๆเข้าไป ส่งให้แมนฯยูแซงนำ 2-1

หลังจากตกเป็นฝ่ายตามหลังได้เพียงนาทีเดียว ทัพหมาป่าเมืองเบียร์ก็เกือบจะตีเสมอได้ทันที จากจังหวะที่ คาลิกูรี ได้ลองส่องไกลหน้ากรอบเขตโทษ แต่ยังโดน เด เฮอา พุ่งปัดทิ้งออกข้างได้อย่างยอดเยี่ยม

จากนั้นนาทีที่ 62 เจ้าบ้านเปลี่ยนตัวสำรองคนที่สอง ส่ง อันเดรียส เปเรย์รา ดาวรุ่งชาวบราซิลลงมาสัมผัสเกมฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรก โดยลงมาแทนที่ของ เดปาย ซึ่งยังโชว์ฟอร์มไม่ออกเหมือนเดิม

8 นาทีต่อมา โวล์ฟสบวร์กแก้เกมบ้าง เปลี่ยนสองคนรวดส่ง ชูร์เล และ นิคลาส เบนท์เนอร์ ลงมาแทน อาร์โนลด์ และ ดอสท์ ส่วนแมนนยูฯเปลี่ยนคนสุดท้ายส่ง ฟิล โจนส์ ลงมาแทน บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์

หลังจากนั้นแม้ว่าทัพหมาป่าเมืองเบียร์จะพยายามบุกหนักเพื่อหวังตีเสมอให้ได้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เฉือนชนะไปแบบหืดจับ 2-1 เก็บสามแต้มแรกในศึกยูซีแอลฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ

รายชื่อ 11 ตัวจริง
แมนฯ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา , คริส สมอลลิง , เดลีย์ บลินด์ , อันโตนิโอ วาเลนเซีย , มัตเตโอ ดาร์เมียน , เมมฟิส เดปาย , ฆวน มาตา , เวย์น รูนีย์ , มอร์แกน ชไนเดอร์แลง , บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ , อองโตนี มาร์กซิยาล
โวล์ฟสบวร์ก : ดีเอโก เบนาโญ , คริสเตียน ทราสช์ , ดานเต , นัลโด , ริคาร์โด โรดริเกวซ , ดาเนียล คาลิกูรี , จูเลียน แดร็กซ์เลอร์ , มักซ์ ครูเซ , โจชัว กิลาโวกี , มักซิมิเลียน อาร์โนลด์ , บาส ดอสท์
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...

คลังคลิปไฮไลท์

ป้ายกำกับ

ข่าวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (360) ข่าวสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (98) พรีเมียร์ลีก 2011/2012 (87) แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (66) พรีเมียร์ลีก 2010/2011 (58) พรีเมียร์ลีก 2015/2016 (48) ลิเวอร์พูล (33) อาร์เซนอล (30) พรีเมียร์ลีก 2012/2013 (29) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (29) เชลซี (27) ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส (26) สโต๊ค ซิตี้ (26) นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (24) แอสตัน วิลล่า (23) เอฟเวอร์ตัน (21) เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (20) ฟูแล่ม (18) นอริช ซิตี้ (17) ฟุตบอลอุ่นเครื่อง/กระชับมิตร (17) สวอนซี ซิตี้ (17) ซันเดอร์แลนด์ (16) พรีเมียร์ลีก 2014/2015 (16) วีแกน (16) แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส (14) โบลตัน (14) UEFA (13) วูล์ฟแฮมป์ตัน (13) ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส (12) เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (11) เซาธ์แฮมป์ตัน (9) เลสเตอร์ ซิตี้ (7) วัตฟอร์ด (6) เบอร์มิงแฮม ซิตี้ (6) แบล็คพูล (6) คริสตัล พาเลส (5) พรีเมียร์ลีก 2016/2017 (5) เอเอฟซี บอร์นมัธ (5) พรีเมียร์ลีก 2013/2014 (4) เรดดิง (4) บาร์เซโลนา (3) ชาลเก้ 04 (2) วาเลเรนกา (2) LEAGUE CUP (1) กลาสโกว์ เรนเจอร์ (1) กว่างตง (1) กาลาตาซาราย (1) คลิปในตำนานแมนยูฯ (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2010/2011 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2011/2012 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2012/2013 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2013/2014 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2015/2016 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2016/2017 (1) นิวยอร์ค คอสมอส (1) บาเลนเซีย (1) พีเอสวี (1) ฟุตบอลเอฟเอ คัพ (1) ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก (1) รีล มาดริด (1) อิปสวิช ทาวน์ (1) เบิร์นลี่ย์ (1) เอฟเอ คัพ (1) แอธเลติก บิลเบา (1) โคโลญจน์ (1) โวล์ฟบวร์ก (1) ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน (1)
ขับเคลื่อนโดย Blogger.