คลิปไฮไลท์พรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 สวอนซี ซิตี้
Manchester United 1-1 Swansea City
วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2560

ผู้ทำประตู : 1-0 เวย์น รูนี่ย์ 45+3′ (Pen.) // 1-1 กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน 80′


ไฮไลท์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 สโต๊ค ซิตี้
2 ต.ค. 2016

ไฮไลท์ฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก 
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ซอร์ย่า 
29 ก.ย. 2016
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 ซอร์ย่า 29 ก.ย. 2016 ฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก

ไฮไลท์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก 
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-1 เลสเตอร์ ซิตี้ 
24 ก.ย. 2016
ไฮไลท์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก  แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-1 เลสเตอร์ ซิตี้  24 ก.ย. 2016

ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2016/2017

ไฮไลท์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก
วัตฟอร์ด 3 - 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 
17 ก.ย. 2016
ไฮไลท์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก วัตฟอร์ด 3 - 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด  17 ก.ย. 2016

ไฮไลท์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

10 ก.ย. 2016

ไฮไลท์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก  แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-2 แมนเชสเตอร์ ซิตี้  10 ก.ย. 2016


คริสตัล พาเลซ 2 - 0 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน
คริสตัล พาเลซ 2 - 0 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน
พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 18:45 • Selhurst Park, London
ผู้ตัดสิน: J. Moss • ผู้ชม: 24033


1-0 แยนนิค โบลาซีย์ น.68, 2-0 โยฮัน กาบาย น.89
ซันเดอร์แลนด์ 2 - 2 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ซันเดอร์แลนด์ 2 - 2 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 21:00 • Stadium of Light, Sunderland
ผู้ตัดสิน: N. Swarbrick • ผู้ชม: 42932

1-0 สตีเวน เฟลทเชอร์ น.10, 2-0 เฌเรเมน เลนส์ น.22, 2-1 คาร์ล เจนกินสัน น.46, 2-2 ดิมิทรี ปาเยต์ น.60

นอริช ซิตี้ 1 - 2 เลสเตอร์ ซิตี้
นอริช ซิตี้ 1 - 2 เลสเตอร์ ซิตี้

พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 21:00 • Carrow Road, Norwich, Norfolk
ผู้ตัดสิน: ม. แคล็ทเทนเบิร์ก • ผู้ชม: 27067


0-1 เจมี วาร์ดี น.28, 0-2 เจฟฟรี ชลุปป์ น.47, 1-2 ดิเมอร์ซี เบซัว น.68
เชลซี 1 - 3 เซาแธมป์ตัน
เชลซี 1 - 3 เซาแธมป์ตัน
พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 23:30 • Stamford Bridge, London
ผู้ตัดสิน: R. Madley • ผู้ชม: 41642

10' WILLIAN 1-0 // 44' STEVEN DAVIS 1-1 // 60' SADIO MANE 1-2 // 73' GRAZIANO PELLE 1-3

'นักบุญแดนใต้' เซาแธมป์ตัน โชว์ฟอร์มสุดร้อนแรงบุกปราบ เชลซี ถึงเดอะบริดจ์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี จากการเรียงหน้ายิงของ สตีเวน เดวิส, ซาดิโอ มาเน และ กราเซียโน เปลเล

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เชลซี 1-3 เซาแธมป์ตัน


ศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เกมคู่สุดท้ายของวัน เชลซี อันดับ 16 มี 8 แต้ม เปิด สแตมฟอร์ด บริดจ์ พบกับ เซาแธมป์ตัน อันดับ 11 มี 9 แต้ม เกมนี้ ราดาเมล ฟัลเกา ได้ออกสตาร์ทตัวจริงแทน ดิเอโก กอสตา ที่ยังติดโทษแบนอยู่ ส่วนทีมเยือนมี กราเซียโน เปลเล เป็นตัวความหวังพังประตู

เริ่มเกมมา 9 นาที เชลซี ได้ประตูนำแบบไม่คาดฝันจากลูกฟรีคิกริมเส้นฝั่งซ้าย วิลเลียน เปิดย้อยเข้ามาแต่น้ำหนักดีมุดสามเหลี่ยมเข้า 1-0 ขณะที่ นาที 15 เซาแธมป์ตัน หวิดตีเสมอทันควัน ดูซาน ทาดิช เห็น สตีเวน เดวิส วิ่งเติมมาทางขวาเลยจ่ายออกให้แต่ยิงบอลเข้าข้างตาข่าย

นาที 25 เจ้าบ้านจะเอาลูกที่สอง เชส ฟาเบรกาส ผ่านมาให้ ออสการ์ ได้หลุดไปยิงในเขตโทษ แต่ มาร์เทน สเตเคเลนเบิร์ก เซฟทัน จากนั้นเกมผ่านมาเรื่อย ๆ นาที 41 เซาแธมป์ตัน มาหวาดเสียว ซาดิโอ มาเน โยนไปให้ ไรอัน เบอร์ทรานด์ หวดด้วยซ้ายแต่ติดเซฟ แอสเมียร์ เบโกวิช

แต่แล้วท้ายครึ่งแรก “นักบุญแดนใต้” กลับตีเสมอได้สำเร็จ นาที 43 กราเซียโน เปลเล เปิดเข้ามา สตีเวน เดวิส ได้บอลหน้าปากประตูก่อนวอลเลย์เสียบเสาอย่างสวย และจบครึ่งแรกไปด้วยผลเสมอ 1-1

กลับมาเล่นในครึ่งหลังทั้งสองทีมต่างเปลี่ยนแปลงผู้เล่นฝั่งละ 1 ราย โดยเจ้าถิ่นถอดเอา รามิเรส ออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง เนมานยา มาติช กลับมาคุมแดนกลางอีกครั้ง ขณะที่ฝั่งทีมเยือนส่งเอา เจมส์ วอร์ด-พราว ลงมาทำหน้าที่แทน โอริโอล โรเมอู

โดยเปิดฉากมาเพียง 3 นาที เซาแธมป์ตัน เริ่มหาโอกาสทักทายก่อนอย่างรวดเร็ว จากลูกที่ ดูซาน ทาดิช เบิ้ลจากริมเส้นฝั่งซ้ายเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ ซาดิโอ มาเน ล้มตัวชาร์จด้วยขวา แต่ว่า อัสมีร์ เบโกวิช ยังปฏิกิริยาไวพุ่งออกมาตัดบอลออกไปได้อย่างหวุดหวิด

กระทั่งนาทีที่ 60 กลายเป็นผู้มาเยือนที่พลิกขึ้นนำได้สำเร็จ จากจังหวะที่ แกรี่ เคฮิลล์ จับบอลไม่ดีจนถูก ดูซาน ทาดิช ฉกบอลไปได้ ก่อนไหลให้ กราเซียโน เปลเล แทงต่อขึ้นหน้าให้ ซาดิโอ มาเน พลิกหนีการประกบของ จอห์น เทอร์รี เข้าไปในกรอบเขตโทษ แล้วเลือกแปเน้นๆติดตัว อัสมีร์ เบโกวิช แต่ด้วยความแรงทำให้บอลทะลักเข้าไปจมก้นตาข่าย ช่วยให้เซาแธมป์ตันพลิกขึ้นนำเป็น 2-1

นาทีที่ 72 เซาแธมป์ตัน มาทำประตูหนีห่างเป็น 3-1 จากจังหวะที่ ซาดิโอ มาเน ใช้ความเร็วอันจัดจ้าน กระชากจากแดนตัวเองขึ้นหน้า ก่อนไหลให้ กราเซียโน เปลเล แตะหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวาแล้วตั้งป้อมซัดด้วยขวาเช็ดเสาไกลเข้าไปอย่างเฉียบขาด

นาทีต่อมา โชเซ มูรินโญ ทำช็อคแฟนบอลเจ้าถิ่น หลังถอดเอา เนมานยา มาติช ที่เพิ่งถูกเปลี่ยนลงสนามเมื่อต้นครึ่งหลังออกไปพักที่ม้านั่งสำรอง แล้วจัดการส่ง โรอิก เรมี กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสลงมาหวังทวงประตูคืน

จากนั้นแม้แชมป์เก่าพยายามโหมบุกอย่างหนักหวังทำประตูที่ 2 ให้ได้เร็วที่สุด แต่ก็เจาะแนวรับอันแข็งแกร่งของ เซาแธมป์ตัน ไม่เข้า ทำให้จบเกม เซาแธมป์ตัน บุกเอาชนะ เชลซี ไปแบบสุดมัน 3-1 เก็บสามแต้มสำคัญ ขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 9 ของตาราง โดยมี 12 คะแนนเท่ากับ เอฟเวอร์ตัน และ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส แต่ลูกได้เสียน้อยกว่าสองทีมนั้นอยู่ 1 ประตู

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เชลซี - แอสเมียร์ เบโกวิช, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, แกรี เคฮิลล์, จอห์น เทอร์รี, เซซาร์ อัสปิลิกูเอตา, เชส ฟาเบรกาส, รามิเรส, ออสการ์, เอเดน ฮาซาร์ด, วิลเลียน, ราดาเมล ฟัลเกา
เซาแธมป์ตัน - มาร์เทน สเตเคเลนเบิร์ก, เซดริก ซัวเรซ, โชเซ ฟอนเต, เวอร์จิล ฟาน ไดก์, ไรอัน เบอร์ทรานด์, สตีเวน เดวิส, ซาดิโอ มาเน, ดูซาน ทาดิช, วิคเตอร์ วานยามา, โอริโอล โรเมอู, กราเซียโน เปลเล

เอเอฟซี บอร์นมัธ 1 - 1 วัตฟอร์ด
เอเอฟซี บอร์นมัธ 1 - 1 วัตฟอร์ด

พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 21:00 • Vitality Stadium, Bournemouth, Dorset
ผู้ตัดสิน: M. Oliver • ผู้ชม: 11187


1-0 กเล็น เมอร์เรย์ น.28, 1-1 โอเดียน อิกฮาโล น.45
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 6 - 1 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 6 - 1 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 21:00 • Etihad Stadium, Manchester
ผู้ตัดสิน: K. Friend • ผู้ชม: 53850

18' MITROVIC 0-1 // 42' AGUERO 1-1 // 49' AGUERO 2-1 // 51' AGUERO 3-1 // 54' KEVIN DE BRUYNE 4-1 // 60' AGUERO 5-1 // 62' AGUERO 6-1

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
แมนเชสเตอร์ ซิตี 6-1 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด


หัวหอกฟ้าขาวโชว์ฟอร์มสุดสะเด่าเหมาคนเดียว 5 ประตู ช่วยให้ แมนฯซิตี้ เปิดบ้านถล่ม นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ขาดลอย พร้อมกลับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงชั่วคราว

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำสัปดาห์ที่ 8 ที่สนามเอติฮัต สเตเดียม ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนเกมรั้งอันดับ 2 ของตาราง เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ก่อนเกมรั้งอันดับ 19 ของตาราง

มานูเอล เปเยกรินี เฮ้ดโค้ช แมนฯ ซิตี้ หมดสิทธิ์ใช้งานแกนหลักที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บหลายราย ไม่ว่าจะเป็น แว็งซองต์ กอมปานี (กัปตันทีม), กาแอล กลิชี, ยาย่า ตูเร่ และ ซามิร์ นาสรี ทำใหเกมนี้ เอเลียเควียม ม็องกาลา ไดโอกาสลงมาจับคู่กับ นิโคลัส โอตาเมนดี้ ในตำแหน่งคู่เซ็นเตอร์ฮาร์ฟ ส่วนแดนกลางใช้ เฟอร์นันโด ประสานงานกับ แฟร์นันดินโญ โดยให้ เซร์คิโอ อเกวโร ยืนค้ำหน้าไล่ล่าตาข่ายเช่นเคย

ขณะที่ นิวคาสเซิล ของกุนซือ สตีฟ แม็คคลาเรน หมดสิทธิ์ใช้งาน แจ็ค โคลแบ็ค กองกลางตัวรับคนสำคัญที่เจ็บน่อง ทำให้ โยฮัน กุฟฟร็อง ปีกเฟรนซ์แมนวัย 29 ปีได้โอกาสลงมาเล่นแทน นอกนั้นยังเป็นผู้เล่นชุดเดิมจากเกมนัดล่าสุด ที่เปิดบ้านเสมอกับ เชลซี 2-2 นำโดย ทิม ครูล (ผู้รักษาประตู), ฟาบริซิโอ โคลอชชินี, เวอร์นอน อนิต้า, อโยเซ เปเรซ และ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช

เริมเกมไม่ถึงนาที นิวคาสเซิล ฉวยโอกาสเปิดฉากทักทายอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ นิโคลัส โอตาเมนดี้ แนวรับของ แมนฯซิตี้ โหม่งสกัดไม่ดีมาเข้าทาง มุสซา ซิสโซโก้ ฮาร์ฟวอลเลย์ดวยขวาแบบไม่ต้องจับจากระยะประมาณ 25 หลา บอลพุ่งผ่านเสาแรกออกหลังไปแบบได้ลุ้นทีเดียว

ถัดมานาทีที่ 7 เจ้าบ้านเริ่มหาโอกาสทักทายบ้าง จากจังหวะที่ เควิน เดอ บรอยน์ ปั่นฟรีคิกด้วยขวาระยะประมาณ 25 หลา บอลกำลังจะมุดเสียบเสาแรกอยู่แล้ว แต่ว่าถูก ทิม ครูล พุ่งปัดออกไปได้ ก่อนบอลชลมุนในกรอบเขตโทษพักใหญ่ และเป็น อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช กองหน้าของ นิวคาสเซิล ต้องลงมาช่วยเคลียร์ทิ้งออกไปได้ทัน

แต่แล้วนาทีที่ 18 กลายเป็นทีมเยือนที่มาทำประตูออกนำไปก่อน จากจังหวะที่ เอเลียเควียม ม็องกาลา แนวรับ แมนฯซิตี้ สกัดไม่พ้นกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายเข้าทาง จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ดีดไซร้ก้อยเข้ากลางให้ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช พุ่งขวิดเน้นๆเต็มศรีษะ ส่งบอลสวนตัว โจ ฮาร์ท เข้าไปนอนจมก้นตาข่าย ช่วยให้นิสคาสเซิลขึ้นนำ 1-0

หลังจากเสียประตูไป ทำให้ แมนฯซิตี้ โหมบุกอย่างหนัก และในนาทีที่ 33 พวกเขามาได้โอกาสลุ้นประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ ลากตัดจากฝั่งขวาเข้ากลาง ก่อนไหลออกไปทางฝั่งซ้ายให้ เซร์คิโอ อเกวโร ตวัดยิงหักข้อด้วยซ้ายบริเวณหัวกระโหลก บอลพุ่งผ่านเสาไกลออกไปนิดเดียว

นาทีที่ 37 แมนฯซิตี้ มาได้โอกาสลุ้นตีเสมออีกครั้ง จากจังหวะที่ ดาบิด ซิลบา เปิดบอลจากฝั่งซ้ายเข้าไปในกรอบเขตโทษ และเป็น ฟาบริซิโอ โคลอชชินี แนวรับ นิวคาสเซิล โหม่งสกัดออกมาเข้าทาง แฟร์นันดินโญ ฮาร์ฟวอลเลย์ด้วยขวาแบบไม่ต้องจับจากระยะประมาณ 25 หลา บอลพุ่งเฉี่ยวเสาไกลออกไป

ท้ายครึ่งแรกนาทีที่ 42 เจ้าบ้านมาตามตีเสมอจนได้ จากจังหวะที่ ดาบิด ซิลบา บรรจงหยอดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายให้ แฟร์นันดินโญ โหม่งชงเข้ากลางให้ เซร์คิโอ อเกวโร พุ่งตอปิโดบกโขกจ่อๆไม่ถึง 3 หลาเข้าไปไม่เหลือ ช่วยให้แมนฯซิตี้ตีเสมอเป็น 1-1 พร้อมกับจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังแวบเดียว นาที 48 ซิตี พลิกขึ้นนำ 2-1 จังหวะ เซร์คิโอ อกูเอโร ได้บอลแล้วยิงแฉลบแนวรับทีมเยือนเข้าไป เท่านั้นไม่พอ นาที 50 ดาวยิงทีมชาติอาร์เจนตินา ก็มาจัดแฮตทริกจนได้ เควิน เดอ บรุนย์ จ่ายอย่างแม่นให้เจ้าตัวหลุดไปชิปบอลหนี ทิม ครูล หนีห่าง 3-1

ประตูของ เรือใบสีฟ้า เริ่มไหลเป็นน้ำ นาที 54 เฆซุส นาบาส เปิดเข้ามาให้ เควิน เดอ บรุนย์ วอลเลย์ย้อยเสียเสาไกลทิ้งเป็น 4-1 ไม่พออีก นาที 60 จังหวะสวนกลับ ดาบิด ซิลบา แทงทะลุให้ เซร์คิโอ อกูเอโร ล็อกหนึ่งจังหวะแล้วปั่นเสียบเสาไกลสวย ๆ ซิตี ไปไกลแล้ว 5-1

นาที 62 วิบากกรรมของ นิวคาสเซิล ยังไม่จบเมื่อเสียลูกที่ 6 เป็น “กุน” อีกแล้ว ที่จับบอลต่อจาก เควิน เดอ บรุนย์ แล้วจัดการพังลูกที่ 5 ให้เจ้าบ้านฉีก 6-1 ขณะที่ ซิตี เปลี่ยนตัวสำรองลงมา นาที 76 เคลเลชี อิเฮียนาโช เกือบพังลูกที่ 7 ให้ทีมได้แต่ ทิม ครูล ไม่พลาดป้องกันอีก

ท้ายเกมไม่มีประตูอีกแล้ว จบเกม ทีมของ มานูเอล เปเยกรินี ปูพรมถล่ม นิวคาสเซิล ครึ่งโหล เก็บเพิ่มเป็น 18 แต้ม แซง “ผีแดง” ขึ้นเป็นจ่าฝูง 1 วัน ส่วน “สาลิกาดง” สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นจมอยู่ท้ายตารางเหมือนเดิม

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ - โจ ฮาร์ท, พาโบล ซาบาเลตา, อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ, เอเลกิม มองกาลา, นิโคลัส โอตาเมนดี, เฟร์นานโด, ราฮีม สเตอร์ลิง, เควิน เดอ บรุนย์, ดาบิด ซิลบา, แฟร์นานดินโญ, เซร์คิโอ อกูเอโร
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด - ทิม ครูล, ฟาบริซิโอ โคลอชชินี, ชานเซล เอ็มเบ็มบา, ดาริล แยนมัต, เควิน เอ็มบาบู, จอร์จินิโอ ไวจ์นาดุม, มุสซา ซิสโซโก, วูร์นอน อานิตา, โยฮัน กุฟฟรอง, อาโยเซ เปเรซ, อเล็กซานดรา มิโตรวิช
แอสตัน วิลลา 0 - 1 สโต๊ค ซิตี้
แอสตัน วิลลา 0 - 1 สโต๊ค ซิตี้
พรีเมียร์ลีก
3 ตุลาคม 2015 • 21:00 • Villa Park, Birmingham
ผู้ตัดสิน: M. Jones • ผู้ชม: 33189

50' ARNAUTOVIC 0-1
"ปิศาจแดง" แมนฯ ยูไนเต็ด สถิติเหนือกว่า "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล ในการดวลกันทุกรายการ รวมถึง 5 นัดหลังสุด ขณะที่ อาร์เซนอล มีผลงานในบ้านที่ดีกว่า ก่อนที่ทั้งสองทีมจะดวลศึกบิ๊กแมตช์ วันอาทิตย์นี้

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2015 ประจำวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2558 ระหว่างสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งวงการลูกหนังแดนผู้ดี เมื่อ อาร์เซนอล ทีมอันดับ 4 แข่ง 7 นัด มี 13 คะแนน จะเปิดสนามเอมิเรตส์ สเตเดียม ต้อนรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 1 แข่งเท่ากัน มี 16 คะแนน

โดยจากสถิติการพบกันของทั้งสองทีมในทุกรายการรวมทั้งหมด 211 ครั้ง
อาร์เซนอล ชนะ 74 ครั้ง
แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 88 ครั้ง
เสมอ 49 ครั้ง

สถิติการยิงประตูเมื่อพบกัน
อาร์เซนอล ยิงได้ 288 ประตู
แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงได้ 319 ประตู

สถิติการเจอกันที่บ้านของ อาร์เซนอล
อาร์เซนอล ชนะ 54 ครั้ง
แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 27 ครั้ง
เสมอกัน 19 ครั้ง

ผลการพบกัน 5 นัดหลังสุดของทั้งสองทีม
17 พ.ค. 2015 แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอ อาร์เซนอล 1-1 พรีเมียร์ลีก
9 มี.ค. 2015 แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ อาร์เซนอล 1-2 เอฟเอ คัพ
22 พ.ย. 2014 อาร์เซนอล แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-2 พรีเมียร์ลีก
12 ก.พ. 2014 อาร์เซนอล เสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0 พรีเมียร์ลีก
10 พ.ย. 2013 แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ อาร์เซนอล 1-0 พรีเมียร์ลีก

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 - 1 โวล์ฟบวร์ก

UEFA CHAMPIONS LEAGUE
1 ตุลาคม 2015 • 1:45 • Old Trafford, Manchester
ผู้ตัดสิน: ว. คาสไซ • ผู้ชม: 7481


4' CALIGIURI 0-1 // 34' MATA (PEN.) 1-1 // 53' CHRIS SMALLING 2-1

ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบแรก กลุ่ม B
แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 โวล์ฟสบวร์ก


มิดฟิลด์สแปนิชกลายเป็นพระเอกในเกมนี้ หลังยิง 1 จ่าย 1 พาปีศาจแดงพลิกจากที่โดนหมาป่าเมืองเบียร์นำไปก่อน แซงกลับมาเอาชนะได้หวุดหวิด

หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือเจ้าบ้าน ปรับทัพจากเกมลีกล่าสุดที่ถล่มซันเดอร์แลนด์ 3-0 เพียงแค่รายเดียวเท่านั้น คือ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ที่ได้โอกาสยืน 11 คนแรกแทน ไมเคิล คาร์ริค ซึ่งบาดเจ็บและไม่มีชื่อแม้แต่ตัวสำรองด้วย ด้านแนวรุกยังเป็นสี่ประสานหน้าเดิมทั้ง ฆวน มาต้า, เมมฟิส เดปาย, เวย์น รูนีย์ และ อ็องโตนี มาร์กซิยาล

ด้านทีมเยือนของ ดีเตอร์ เฮคคิงก์ เปลลี่ยนตัวผู้เล่นจากนัดก่อนในบุนเดสลีกาที่เปิดบ้านเสมอฮันโนเวอร์ 1-1 แค่หนึ่งรายเช่นเดียวกัน คือ แม็กซิมิเลียน อาร์โนลด์ ที่ได้โอกาสลงเป็นตัวจริงแทน อังเดร ชูร์เล โดยจะฝากความหวังในแนวรุกไว้ที่กองหน้าตัวเป้าอย่าง บาส ดอสท์ ซึ่งจะประสานร่วมกับ ดาเนียล คาลิกูรี และ ยูเลียน แดร็กซ์เลอร์

เริ่มเกมได้เพียง 4 นาทีเท่านั้น เสียงเชียร์ของเหล่าเร้ดส์ อาร์มีในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดกลับต้องเงียบกริบ เมื่อโวล์ฟสบวร์กสามารถพังประตูขึ้นนำได้อย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ มักซ์ ครูเซ ไหลเข้าช่องให้ คาลิกูรี หลุดกับดักล้ำหน้าไปยิงสวนตัว ดาบิด เด เฮอา เข้าไป ส่งให้ทีมเยือนบุกมานำ 1-0

ถัดมานาทีที่ 12 แมนฯยูฯเกือบจะตีเสมอได้ จากจังหวะที่ มัตเตโอ ดาร์เมียน เปิดบอลจากกราบซ้ายเข้าเขตโทษให้ มาต้า ได้ปั่นด้วยซ้าย บอลจะโค้งเสียบเสาไกลอยู่แล้ว แต่ยังโดน ดานเต้ พุ่งโหม่งทิ้งข้ามคานไปหวุดหวิด

จากนั้นนาทีที่ 25 ปีศาจแดงมีโอกาสอีกครั้ง จากจังหวะที่ มาร์กซิยาล กระชากหนี ริคาร์โด้ โรดริเกวซ ไปสุดเส้นหลังฝั่งขวาก่อนจะผ่านเข้ากลางให้ รูนีย์ แปโด่งข้ามคานไปแบบน่าผิดหวัง

แต่แล้วในนาทีที่ 34 เจ้าบ้านก็มาได้จุดโทษ จากจังหวะที่ คาลิกูรี เจตนาทำแฮนด์บอลในกรอบ 18 หลา ก่อนจะเป็น มาต้า รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาด ทำให้สกอร์กลับมาเท่ากันอีกครั้งที่ 1-1 ก่อนจะจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

เข้าสู่ครึ่งหลังปีศาจแดงตัดสินใจแก้เกมทันที ด้วยการเปลี่ยนตัวสำรองคนแรก ส่ง แอชลีย์ ยัง ลงมายืนเป็นแบ็คขวาแทน อันโตนิโอ วาเลนเซีย จนกระทั่งนาทีที่ 53 ก็มาพลิกขึ้นนำจนได้ จากจังหวะที่ มาต้า ใช้ความสามารถเฉพาะตัว จ่ายดีดลูกส้นกลับหลังกลางอากาศให้ คริส สมอลลิง หลุดกับดักล้ำหน้าพุ่งชาร์จจ่อๆเข้าไป ส่งให้แมนฯยูแซงนำ 2-1

หลังจากตกเป็นฝ่ายตามหลังได้เพียงนาทีเดียว ทัพหมาป่าเมืองเบียร์ก็เกือบจะตีเสมอได้ทันที จากจังหวะที่ คาลิกูรี ได้ลองส่องไกลหน้ากรอบเขตโทษ แต่ยังโดน เด เฮอา พุ่งปัดทิ้งออกข้างได้อย่างยอดเยี่ยม

จากนั้นนาทีที่ 62 เจ้าบ้านเปลี่ยนตัวสำรองคนที่สอง ส่ง อันเดรียส เปเรย์รา ดาวรุ่งชาวบราซิลลงมาสัมผัสเกมฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรก โดยลงมาแทนที่ของ เดปาย ซึ่งยังโชว์ฟอร์มไม่ออกเหมือนเดิม

8 นาทีต่อมา โวล์ฟสบวร์กแก้เกมบ้าง เปลี่ยนสองคนรวดส่ง ชูร์เล และ นิคลาส เบนท์เนอร์ ลงมาแทน อาร์โนลด์ และ ดอสท์ ส่วนแมนนยูฯเปลี่ยนคนสุดท้ายส่ง ฟิล โจนส์ ลงมาแทน บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์

หลังจากนั้นแม้ว่าทัพหมาป่าเมืองเบียร์จะพยายามบุกหนักเพื่อหวังตีเสมอให้ได้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เฉือนชนะไปแบบหืดจับ 2-1 เก็บสามแต้มแรกในศึกยูซีแอลฤดูกาลนี้ได้สำเร็จ

รายชื่อ 11 ตัวจริง
แมนฯ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา , คริส สมอลลิง , เดลีย์ บลินด์ , อันโตนิโอ วาเลนเซีย , มัตเตโอ ดาร์เมียน , เมมฟิส เดปาย , ฆวน มาตา , เวย์น รูนีย์ , มอร์แกน ชไนเดอร์แลง , บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ , อองโตนี มาร์กซิยาล
โวล์ฟสบวร์ก : ดีเอโก เบนาโญ , คริสเตียน ทราสช์ , ดานเต , นัลโด , ริคาร์โด โรดริเกวซ , ดาเนียล คาลิกูรี , จูเลียน แดร็กซ์เลอร์ , มักซ์ ครูเซ , โจชัว กิลาโวกี , มักซิมิเลียน อาร์โนลด์ , บาส ดอสท์
เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2 - 3 เอฟเวอร์ตัน
เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2 - 3 เอฟเวอร์ตัน
พรีเมียร์ลีก
29 กันยายน 2015 • 2:00 • The Hawthorns, West Bromwich
ผู้ตัดสิน: R. Madley • ผู้ชม: 24240

41' SAIDO BERAHINO 1-0 // 54' CRAIG DAWSON 2-0 // 55' ROMELU LUKAKU 2-1 // 75' AROUNA KONE 2-2 // 84' ROMELU LUKAKU 2-3

หัวหอกทีมชาติเบลเยียมสวมบทฮีโร่เหมาคนเดียวสองประตู ช่วยให้เอฟเวอร์ตันพลิกสถานการณ์จากตามหลัง 2-0 กลับมาแซงชนะเวสต์บรอมฯสุดมัน พร้อมขยับขึ้นท็อปไฟท์เรียบร้อย

การแข่งขันฟุตบอลพรเมียร์ลีก อังกฤษ นัดมันเดย์ไนท์ ที่สนามเดอะ ฮอว์ธอร์น ระหว่าง เวสต์บรอมวิซ อัลเบียน ก่อนเกมรั้งอันดับ 14 ของตาราง มี 8 คะแนน เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เอฟเวอร์ตัน ก่อนเกมรั้งอันดับ 9 ของตาราง มี 9 คะแนน

โทนี พูลิส เทรนเนอร์ 'เดอะ แบล็กกีส์' เปลี่ยนมาใช้แผนการเล่นระบบ 4-3-3 วาง เจมส์ แม็คคลีน, ไซโด้ เบราฮิโน และ ซาโลมอน รอนดอน เป็นสามประสานในแนวรุก ส่วน 4 แนวรับยังเป็นหน้าเดิม ประกอบด้วย เคร็ก ดอว์สัน, โยนาส โอลส์สัน, คริส บรันท์ และ จอนนี่ อีแวนส์

ขณะที่ฝั่ง 'ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน' ของกุนซือ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ เปลี่ยนแปลงผู้เล่นเพียง 2 รายจากเกมลีกนัดล่าสุด ที่บุกเสมอ สวอนซี ซิตี้ แบบไร้สกอร์ 0-0 โดยหมดสิทธิ์ใช้งาน จอห์น สโตน ที่มีปัญหาเรื่องความฟิต รวมถึงดร็อป อารูนา โกเน ไว้ที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง รามิโอ โมรี กับ เคราร์ด เดวโลเฟว ลงมาเล่นแทน

เปิดฉากมาแค่ 5 นาที เจ้าถิ่นเได้โอกาสทักทายก่อนอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ เจมส์ แม็คคาร์ธีย์ กองกลาง เอฟเวอร์ตัน สกัดบอลมาเข้าทาง เจมส์ มอร์ริสัน ตั้งป้อมกดด้วยขวาเต็มข้อจากระยะประมาณ 25 หลา แต่บอลพุ่งไปตรงตัวของ ทิม ฮาเวิร์ด ยืนรับเอาไว้ได้แบบสบายมือ

นาทีที่ 28 เวสต์บรอมฯ ต้องมาเสียโควต้าเปลี่ยนตัวไปโดยปริยาย เนื่องจาก โยนาส โอลส์สัน แนวรับจอมเก๋าวัย 32 ปี มีอาการบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ทำให้ โทนี พูลิส ตัดสินใจส่ง เจมส์ เชสเตอร์ อดีตเด็กปั้นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงมาเล่นแทน

แต่แล้วนาทีที่ 40 เจ้าถิ่นมาทำประตูออกนำไปก่อนจนได้ จากจังหวะที่ รามิโอ โมรี แนวรับ เอฟเวอร์ตัน พาบอลขึ้นมาทางฝั่งซ้ายในแดนตัวเอง แต่โดน เคร็ก ดอว์สัน ล้มตัวสกัดไปเข้าทาง แกเร็ธ แบร์รี จ่ายบอลขึ้นหน้าไปเข้าทาง เจมส์ มอร์ริสัน บรรจงแทงทะลุช่องเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ ไซโด้ เบราฮิโน สอดเข้ามาตวัดตามน้ำด้วยขวาสวนตัว ทิม ฮาเวิร์ด เข้าไปตุงตาข่าย ช่วยให้เวสต์บรอมฯขึ้นนำ 1-0

3 นาทีต่อมา เอฟเวอร์ตัน มีโอกาสลุ้นประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ เคราร์ด เดวโลเฟว พลิกหนีตัวประกบ ก่อนจ่ายย้อนกลับมาให้ เจมส์ แม็คคาร์ธีย์ ตั้งป้อมกดเลียดด้วยซ้ายจากระยะประมาณ 22 หลา ทิศทางบอลกำลังจะพุ่งเสียบเสาแรกอยู่แล้ว แต่ว่า โบอาซ มายฮิลล์ ยังปฏิกิริยาไวล้มตัวปัดออกหลังไปได้อย่างหวุดหวิด จบ 45 นาทีแรก เวสต์บรอมฯ ยังรักษาสกอร์นำอยู่ 1-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลังได้ไม่นาน เพียงนาทีที่ 54 เวสต์บรอมฯ มาทำประตูหนีห่างเป็น 2-0 จากจังหวะที่ คริส บรันท์ เปิดลูกเตะมุมทางฝั่งขวาเข้ามาในกรอบเขตโทษเสาไกลให้ เคร็ก ดอว์สัน ฉีกหนี ฟิล จากีลก้า ขึ้นโขกกดลงพื้นเน้นๆเบียดเสาเข้าประตูไป

อย่างไรก็ตาม ไม่ถึงนาทีหลังจากนั้น ทีมเยือนมาทำประตูตีไข่แตกได้แบบทันควัน จากลูกที่ เคราร์ด เดวโลเฟว ตั้งป้อมเปิดโค้งจากริมเส้นฝั่งขวาเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ โรเมลู ลูกากู ขึ้นโหม่งเน้นๆเต็มศรีษะ บอลพุ่งหนีมือ โบอาซ มายฮิลล์ เสียบเสาไกลเข้าไปอย่างสุดสวย ช่วยให้เอฟเวอร์ตันไล่มาเป็น 1-2

นาทีที่ 75 สาวก 'ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน' ได้เฮกันลั่นสนาม เมื่อทีมรักมาทำประตูตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่่ โรเมลู ลูกากู โชว์สเต็ปแหวกฝ่าแนวรับเจ้าถิ่นจากขวาเข้ากลาง ก่อนแทงทะลุช่องให้ อารูนา โกเน ตัวสำรองหลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนเลือกแปด้วยขวาสวนตัว โบอาซ มายฮิลล์ เข้าไปอย่างเยือกเย็น

ยิ่งไปกว่านั้น ท้ายเกมนาทีที่ 84 เอฟเวอร์ตัน มาได้ประตูพลิกขึ้นนำ พร้อมกับกลายเป็นประตูชัย จากจังหวะที่ เคราร์ด เดวโลเฟว เจ้าเก่าตั้งป้อมโยนจากฝั่งขวาเข้ามาในกรอบเขตโทษให้ โรเมลู ลูกากู เบียดเอาชนะ แนวรับเจ้าบ้านแตะบอลขึ้นหน้าหนึ่งจังหวะ ก่อนตามกดด้วยขวาจ่อๆไม่ถึง 3 หลาเข้าไปไม่เหลือ

จบเกม เอฟเวอร์ตัน กลับมาพลิกแซงชนะ เวสต์บรอมวิซ อัลเบียน ไปแบบสุดมัน 3-2 รักษาสถิติยังไม่แพ้เกมเยือนในฤดูกาลนี้ พร้อมขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 5 ของตาราง มี 12 คะแนนเท่ากับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส, คริสตัล พาเลซ และ เลเสเตอร์ ซิตี้ แต่มีประตูได้เสียดีกว่านั่นเอง
วัตฟอร์ด 0 - 1 คริสตัล พาเลซ

วัตฟอร์ด 0 - 1 คริสตัล พาเลซ

พรีเมียร์ลีก
27 กันยายน 2015 • 22:00 • Vicarage Road Stadium, Watford
ผู้ตัดสิน: A. Taylor • ผู้ชม: 20168


71' YOHAN CABAYE (PEN.) 0-1
ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส 4 - 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส 4 - 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 18:45 • White Hart Lane, London
ผู้ตัดสิน: ม. แคล็ทเทนเบิร์ก • ผู้ชม: 35867

0-1 เควิน เดอ บรุยน์ น.25, 1-1 เอริค ดายเออร์ น.45, 2-1 โทบี อัลเดอร์เวเรลด์ น.50, 3-1 แฮร์รี เคน น.61, 4-1 เอริค ลาเมลา น.79

แมนเชสเตอร์ ซิตี ของ มานูเอล เปเยกรินี อยู่ในอาการโคม่ายังไม่ฟื้นเมื่อเจอความปราชัยใน พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ 2 นัดติดต่อกัน จากการบุกไปโดน ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ยิงจมลงไปนอนก้นอ่าวทะเล 1-4

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 4-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี


ศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ นัดแรกของสัปดาห์นี้ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ อันดับ 9 ของตาราง มี 9 แต้ม เล่นในบ้านที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน เจอศึกหนักต้อนรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี จ่าฝูงมี 15 แต้ม เกมนี้เจ้าบ้านส่ง แฮร์รี เคน เป็นหัวหอกพังประตู ส่วนทีมเยือนได้ เซร์คิโอ อกูเอโร ออกสตาร์ทลุ้นยิง

เริ่มเกมมา 9 นาที ซิตี ครองบอลดีกว่าและทักทายก่อนเลยจากลูกยิงไกลของ เควิน เดอ บรุยน์ แต่บอลหลุดเสาสองนิดเดียว ต่อมา นาที 18 ทีมเยือนยังได้โอกาสต่อ แฟร์นานดินโญ ผ่านบอลมาให้ เซร์คิโอ อกูเอโร จับเข้าเท้าแล้วยิงแต่ อูโก ยอริส ยังเหนียวพุ่งปัดปลายมือ

ทีมเยือนคุมเกมแบบเบ็ดเสร็จจน นาที 25 ประตูแรกที่รอคอยก็มา ยายา ตูเร พาบอลสวนกลับแล้วแทงออกขวาให้ เควิน เดอ บรุยน์ หลุดไปซัดเสียบเสาไกลนำ 1-0 ขณะที่ สเปอร์ส ได้โอกาสทอง นาที 32 นิโคลัส โอตาเมนดี สกัดวืดโดน แฮร์รี เคน แย่งบอลไปยิงแต่ไม่แม่นออกข้างอีก

มาถึง นาที 41 สเปอร์ส จะตีเสมอให้ได้ แฮร์รี เคน ขอแก้ตัวล็อกเข้าซ้ายแล้วซัดทันทีแต่ วิลเฟรโด กาบาเยโร ปัดได้แบบหวุดหวิด แต่ก่อนหมดเวลา นาที 44 เควิน เดอ บรุยน์ สกัดไม่ขาดบอลเข้าทางปืน เอริค ดายเออร์ ง้างยิงไกลบอลชิ่งเสาตีเสมอ 1-1 และจบครึ่งแรกด้วยผลดังกล่าว

กลับมาเล่นในครึ่งหลังเพียง 5 นาที กลายเป็นเจ้าถิ่นที่มาได้ประตูพลิกขึ้นนำเป็น 2-1 จากจังหวะที่ เอริค ลาเมลา เปิดฟรีคิกจากริมเส้นฝั่งขวาเข้ามาในเขตโทษให้ โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ ขึ้นโขกย้อยๆ ส่งบอลสวนทาง วิลลี กาบาเยโร เข้าไปนอนจมก้นตาข่าย

เท่านั้นไม่พอนาทีที่ 61 เจ้าบ้านมาบวกประตูเพิ่มได้อีก จากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลาเยื้องไปทางฝั่งขวา และเป็น คริสเตียน อีริคเซน รับหน้าที่ปั่นด้วยขวาไปชนสามเหลี่ยมอย่างจัง แต่ว่าบอลยังเป็นใจกระดอนมาเข้าทาง แฮร์รี เคน ตามซ้ำง่ายๆเข้าไปไม่เหลือ ช่วยให้สเปอร์สหนีห่างเป็น 3-1 พร้อมกับเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น 10 นาทีถัดมา สเปอร์ส มาได้ประตูตอกฝาโลง จากจังหวะที่ คลินตัน เอ็นจีเย ตัวสำรอง กระชากขึ้นมาทางริมเส้นฝั่งขวา ก่อนปาดเลียดเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ เอริค ลาเมลา ใช้ความสามารถเฉพาะตัว ดึงหลอก วิลลี กาบาเยโร กับ มาร์ติน เดมิเคลิส จนหัวคะมำกันทั่งคู่ ก่อนแปด้วยซ้ายเข้าไปอย่างเยือกเย็น

จบเกม ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส แซงถล่ม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปอย่างขาดลอย 4-1 เก็บสามแต้มสำคัญ ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 5 ของตารางชั่วคราว มี 12 คะแนนเท่ากับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ เลสเตอร์ ซิตี้ ด้าน แมนฯ ซิตี้ ยังนำเป็นจ่าฝูงต่อไป โดยนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ 1 คะแนนเท่าเดิม แต่แข่งมากกว่า 1 นัด

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ - อูโก ยอริส, ไคล์ วอล์คเกอร์, โทบี อัลเดอร์เวเรลด์, แยน แฟร์ทองเกน, เบน เดวีส์, ซอง เฮือง-มิน, เอริค ลาเมลา, เอริค ดายเออร์, เดเล อัลลี, คริสเตียน เอริคเซน, แฮร์รี เคน
แมนเชสเตอร์ ซิตี - วิลเฟรโด กาบาเยโร, บาการี ซานญา, อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ, มาร์ติน เดมิเคลสิน, นิโคลัส โอตาเมนดี, เฟอร์นานโด, ราฮีม สเตอร์ลิง, เควิน เดอ บรุยน์, แฟร์นานดินโญ, เซร์คิโอ อกูเอโร
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2 - 2 เชลซี
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2 - 2 เชลซี
พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 23:30 • St. James' Park, Newcastle-upon-Tyne
ผู้ตัดสิน: ม. แอ็ตกินสัน • ผู้ชม: 48682

42' AYOZE 1-0 // 60' GEORGINIO WIJNALDUM 2-0 // 79' RAMIRES 2-1 // 87' WILLIAN 2-2


รามิเรส และ วิลเลียน สองแนวรุกของ เชลซี กลายเป็นฮีโร่พา “สิงห์บลูส์” รอดพ้นจากความตายหลังช่วยกันยิงพาทีมแบ่งแต้มกลับบ้านจาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2-2 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ คืนวันที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมา

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2-2 เชลซี


ศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ คู่ดึกสุดคืนวันเสาร์ เกมที่ เซนต์ เจมส์ ปาร์ก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด อันดับ 19 โซนตกชั้นมี 2 แต้ม เล่นในบ้านเจอกับ เชลซี อันดับ 16 มี 7 แต้ม เกมนี้เจ้าบ้านเลือกใช้ อาโยเซ เปเรซ ผนึกกำลังคู่อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ส่วนทีมเยือน ดิเอโก กอสตา โดนแบนทำให้ โลอิค เรมี ได้มายิงแทน

ครึ่งแรกผ่านมา 4 นาที ทีมของ โชเซ มูรินโญ ทักทายก่อนเลยแบบไม่ต้องรอให้เจ้าบ้านเชื้อเชิญ จากฟรีคิกของ เคิร์ท ซูมา แต่ยิงไม่ดีบอลหลุดออกหลัง ผ่านมา นาที 12 โลอิค เรมี จับบอลต่อจาก บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ได้ยิงแต่ก็ยังไม่เข้ากรอบเหมือนเดิม

เกมเริ่มสนุกเมื่อ นิวคาสเซิล ตอบโต้ นาที 17 อาโยเซ เปเรซ ให้บอลต่อ มุสซา ซิสโซโก ส่องนอกเขตโทษทว่าไม่เข้าเป้า จากนั้น นาที 28 สาลิกา เกือบขึ้นนำสองรอบ อาโยเซ เปเรซ หลุดไปยิงติดเซฟจังหวะแรก นักเตะเจ้าถิ่นเก็บได้ให้ ดาริล แยนมัต ยิงต่อทว่า แอสเมียร์ เบโกวิช ยังรับได้

นาที 37 สิงห์บลูส์ เกือบทำได้ เชส ฟาเบรกาส ลากมาจากกลางสนามแล้วยิงไซด์ก้อยแต่ ทิม ครูล กระโดดปัดมือเดียว ทว่าเกิดเหตุไม่คาดฝัน นาที 41 นิวคาสเซิล ขึ้นนำ 1-0 จังหวะ เวอร์นอน อานิตา สาดยาวเข้ากลาง อาโยเซ เปเรซ จับไม่ดีแต่ตวัดยิงตามน้ำได้ และจบครึ่งแรกไปเลย

กลับมาเล่นในครึ่งหลังได้เพียง 9 นาที (นาทีที่ 54) นิวคาสเซิล ต้องมาเสียโควต้าเปลี่ยนตัวไปโดยปริยาย เนื่องจาก แจ็ค โคลแบ็ค กองกลางตัวรับชาวผู้ดีมีอาการบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ทำให้ สตีฟ แม็คคลาเรน ตัดสินใจส่ง กาเบรียล โอแบร์กต็อง ลงมาเล่นแทน

นาทีที่ 60 นิวคาสเซิล มาทำประตูหนีห่างเป็น 2-0 จากจังหวะที่ อโยเซ เปเรซ เปิดลูกเตะมุมทางฝั่งขวาเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม สลัดหนีตัวประกบโหม่งเช็ดหนีมือ อัสมีร์ เบโกวิช เสียบเสาไกลเข้าไปตุงตาข่าย

หลังจากถูกนำไปก่อนถึง 2 ประตู ทำให้ โชเซ มูรินโญ แก้เกมทันที โดยถอดเอา เนมานยา มาติช และ โลอิก เรมี ออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง วิลเลียน กับ ราดาเมล ฟัลเกา ลงมาเล่นแทน

กระทั่งนาทีที่ 79 แชมป์เก่ามาทำประตูตีไข่แตกจนได้ จากจังหวะที่ เอเด็น อาซาร์ โชว์สเต็ปพริ้วลากตัดจากฝั่งซ้ายเข้ากลาง ก่อนไหลถวายพานออกไปทางฝั่งขวาให้ รามิเรส จับหนึ่งจังหวะ ก่อนหวดเต็มข้อล่อเต็มแข่งบอลพุ่งแรงเสียบสามเหลี่ยมเสาไกลเข้าไปอย่างสุดสวย ช่วยให้เชลซีไล่มาเป็น 1-2

ท้ายเกมนาทีที่ 88 แฟนทูนอาร์มีนั่งหน้าบูดกันเป็นแถบ หลังจากเชลซีตามตีเสมอได้สำเร็จ จากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลาเยื้องมาทางฝั่งซ้าย และเป็น วิลเลียน รับหน้าที่ปั่นด้วยขวาเข้าไปลุ้นในเขตโทษ และเป็น รามิเรส โฉบมาโหม่งแต่ไม่โดน ทำให้บอลสวนตัว ทิม ครูล เข้าไปตุงตาข่าย

จบเกม เชลซี บุกไล่ตีเสมอ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไปแบบหืดจับ 2-2 แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน ทำให้ เชลซี ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 15 ของตาราง มี 8 คะแนน ส่วน นิวคาสเซิล จมอยู่ในอันดับ 19 ของตารางต่อไป มีเพียง 3 คะแนนเท่านั้น

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด - ทิม ครูล, ฟาบริซิโอ โคลอชชินี, ชานเซล เอ็มเบ็มบา, ดาริล แยนมัต, เควิน เอ็มบาบู, แจ็ค โคลแบ็ก, จอร์จินิโอ ไวจ์นาดุม, มุสซา ซิสโซโก, เวอร์นอน อานิตา, อาโยเซ เปเรซ, อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช
เชลซี - แอสเมียร์ เบโกวิช, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, เคิร์ท ซูมา, แกรี เคฮิลล์, เซซาร์ อัสปิลิกูเอตา, เชส ฟาเบรกาส, ออสการ์, เอเดน ฮาซาร์ด, เปโดร โรดริเกวซ, เนมานยา มาติช, โลอิค เรมี

ลิเวอร์พูล 3 - 2 แอสตัน วิลลา
ลิเวอร์พูล 3 - 2 แอสตัน วิลลา

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • Anfield, Liverpool
ผู้ตัดสิน: J. Moss • ผู้ชม: 44228


1-0 เจมส์ มิลเนอร์ น.2, 2-0 ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ น.59, 2-1 รูดี เกสเต น.66, 3-1 ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ น.67, 3-2 รูดี เกสเต น.71

ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะในรอบ 5 เกมได้สำเร็จ ด้วยการเปิดบ้านแลกสกอร์กับ แอสตัน วิลลา ไปแบบสุดมันส์ด้วยสกอร์ 3-2

เกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษนัดที่ 7 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟิลด์พบ แอสตัน วิลลา

เพียง 1 นาที 6 วินาที ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน! คูตินโญ ครองบอลอยู่ที่ฝั่งซ้าย ก่อนลากเข้ากลางบริเวณแถวสอง ก่อนหาช่องจ่ายบอลไปถึง เจมส์ มิลเนอร์ จับบอลได้ก่อนยิงเต็มข้อเข้าไปที่ข้างเสาด้านขวาเป็นประตู 1-0

ลิเวอร์พูลเกือบโดนตามตีเสมอในนาทีที่ 22 บอลโยนของแอสตัน วิลลา เข้ามาในเขตโทษ เอ็มเร จัน สกัดบอลพลาดไปเข้าทาง รูดี้ เกสเตด ยิงแบบไม่ต้องจับ บอลหลุดกรอบออกไปทางด้านข้างแบบหวาดเสียว

ลิเวอร์พูลยังครองบอลได้มากกว่าตลอดทั้งเกม โดยช่วงท้ายครึ่งแรก แอสตัน วิลลา มีจังหวะได้บุกบ้าง แต่ยังไม่มีการจบสกอร์ที่ใกล้เคียงให้เห็นมากนัก จบครึ่งแรกด้วยสกอร์นำ 1-0 ของเจ้าถิ่น

ครึ่งหลังยังคงเป็นหงส์แดงเจ้าถิ่นที่เปิดเกมรุกใส่ทีมเยือน นาทีที่ 52 บอลทำชิ่งของผู้เล่นลิเวอร์พูลไปถึง เจมส์ มิลเนอร์ ได้ยิงจากนอกกรอบ แบร็ด กูซาน ปัดออกมายังมี ไคลน์ เติมขึ้นมาแต่โดนประกบทำให้จบสกอร์ไม่ได้

นาทีที่ 54 ลิเวอร์พูลโหมบุกหนัก และมาได้ฟรีคิกระยะหวังผลที่ฝั่งซ้ายนอกกรอบเขตโทษ คูตินโญ อยู่ที่บอล ก่อนยิงเรียดผ่านกำแพงไปได้ บอลพุ่งแรงแต่ กูซาน ยังพุ่งเซฟได้ไม่ยาก

เจ้าบ้านเฮอีกรอบ!! ลูคัส เลวา ออกบอลให้ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ต่อบอลกับ มิลเนอร์ กระดกคืนให้ สเตอร์ริดจ์ ได้ตวัดเท้าซ้ายยิงที่ด้านข้างซ้ายของกรอบหกหลานำห่างเป็น 2-0

ลิเวอร์พูลยังบุกได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทัพสิงห์ผงาดเองก็มีโอกาสโต้กลับ และเข้าทำได้ใกล้เคียงมากขึ้น

แอสตัน วิลลา ตามตีไข่แตกได้สำเร็จ!! นาทีที่ 66 เกมริมเส้นของ ทีมเยือนมาถึง ฮุสตัน ลากไปจนสุดเส้นหลังก่อนเปิดผ่านกองหลังกลับมาหน้าปากประตู รูดี้ เกสเตด เติมมาเข้าชาร์จจ่อๆราว 4 หลา

GOAL!!!! ตัดกลับมาเพียงนาทีเดียว ลิเวอร์พูลหนีห่างไปเป็น 3-1! คูตินโญ จ่ายบอลให้ สเตอร์ริดจ์ ม้วนหลับกองหลังแต่ยังไม่ต่อไม่ได้ จึงทำชิ่งกับคูตินโญ ตอกส้นคืนกลับมา สเตอร์ริดจ์ ส่งบอลเข้าก้นตาข่ายอีกครั้งในนาทีที่ 67

เกมเปิดให้ แอสตัน วิลลา เล่นเกมของตัวเองได้มากขึ้นจนในนาทีที่ 71 จอร์แดน อามาวี พาบอลมาทางริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนโยนยาวเข้าหน้าปากประตู เกสเตด คนเดิมขึ้นโหม่งเน้นๆไล่ตีตื้นขึ้นมาเป็น 3-2

นาทีที่ 73 คูตินโญ ปั่นงามหยดข้ามกำแพงและกำลังจะมุดเสียบใต้คานแต่ กูซาน ยังทำได้ดีกว่า กระโดด เซฟไว้ได้อย่างสวยงามไม่แพ้คนยิง

ท้ายเกม แอสตัน วิลลา ทำเกมได้ดีขึ้น และมีจังหวะอันตรายให้เห็นเยอะมากกว่าในครึ่งแรก

ช่วง 5 นาทีสุดท้ายเกมยิ่งเข้มข้น สเตอร์ริดจ์ มีโอกาสได้ยิงแบบใกล้เคียงสุดๆอยู่หลายจังหวะ แต่ทำแฮททริคไม่สำเร็จ

จบเกมลิเวอร์พูล เฉือนชนะ แอสตัน วิลลา ไปได้แบบสุดมันส์ หลังแรกสกอร์กันจนจบที่ 3-2

สโต๊ค ซิตี้ 2 - 1 เอเอฟซี บอร์นมัธ
สโต๊ค ซิตี้ 2 - 1 เอเอฟซี บอร์นมัธ

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • Britannia Stadium, Stoke-on-Trent, Staffordshire
ผู้ตัดสิน: L. Mason • ผู้ชม: 27742


1-0 โจนาธาน วอลเตอร์ส น.32, 1-1 แดน กอสลิง น.76, 2-1 มาเม บิรัม ดิยุฟ น.83

เซาแธมป์ตัน 3 - 1 สวอนซี ซิตี้
เซาแธมป์ตัน 3 - 1 สวอนซี ซิตี้

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • St. Mary's Stadium, Southampton, Hampshire
ผู้ตัดสิน: R. East • ผู้ชม: 30704


1-0 เวอร์จิล ฟาน ไดค์ น.11, 2-0 ดูซาน ทาดิช น.54, 3-0 ซาดิโอ มาเน น.61, 3-1 กิลฟี ซิกูร์ดสัน น.83
เลสเตอร์ ซิตี้ 2 - 5 อาร์เซนอล
เลสเตอร์ ซิตี้ 2 - 5 อาร์เซนอล

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • King Power Stadium, Leicester, Leicestershire
ผู้ตัดสิน: C. Pawson • ผู้ชม: 32047


1-0 เจมี วาร์ดี น.13, 1-1 ธีโอ วัลคอตต์ น.18, 1-2 อเล็กซิส ซานเชซ น.33, 1-3 อเล็กซิส ซานเชซ น.57, 1-4 อเล็กซิส ซานเชซ น.81, 2-4 เจมี วาร์ดี น.89, 2-5 โอลิวิเยร์ ชิรูด์ น.93

เลสเตอร์ ซิตี 2-5 อาร์เซนอล

แนวรุกทีมชาติชิลีกลับมาระเบิดฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง หลังเหมา 3 ประตู พา อาร์เซนอล บุกหยุดสถิติไร่พ่ายของ เลสเตอร์ ซิตี้ ไว้ที่ 6 นัด

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำสัปดาห์ที่ 7 ที่คิงพาวเวอร์ สเตเดียม ระหว่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนเกมรั้งอันดับ 4 ของตาราง เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ อาร์เซนอล ก่อนเกมรั้งอันดับ 6 ของตาราง

เคลาดิโอ รานิเอรี ผู้จัดการทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจพัก โกคาน อินแลร์ ไว้ที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง มาร์ค อัลไบรท์ตัน ลงมาเล่นแทน นอกนั้นยังเป็นผู้เล่นชุดเดิมจากเกมลีกนัดก่อน ที่บุกยันเสมอ สโต๊ค ซิตี้ 2-2 นำโดย คาสเปอร์ ชไมเคิล (ผู้รักษาประตู), เวส มอร์แกน, แดนนี ดริ๊งค์วอเตอร์, ริยาด มาห์เรซ และแดนหน้าให้ เจมี วาร์ดี้ จับคู่กับ ชินจิ โอกาซากิ

ขณะที่ฝั่ง อาร์เซนอล ของกุนซือ อาร์แซน เวงเกอร์ ยังคงให้ มาติเยอ ฟลามินี่ ฮีโร่ผู้ทำ 2 ประตูในเกมเขี่ย ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ตกรอบ 3 ลีกคัพ ยืนปักหลักในแดนกลางเช่นเคย พร้อมกับมาใช้ ธีโอ วัลคอตต์ ยืนเป็นหน้าเป้าไล่ล่าตาข่ายอีกครั้ง โดยมี อเล็กซิส ซานเซซ, อารอน แรมซีย์ และ เมซุต โอซิล คอยเติมเกมสนับสนุนอยู่ด้านหลัง

เริ่มเกมมาได้เพียง 13 นาที กลายเป็นเจ้าบ้านที่มาทำประตูออกนำไปก่อน จากจังหวะสวนกลับเร็ว และเป็น แดนนี ดริ๊งค์วอเตอร์ บรรจงสาดยาวจากแดนตัวเองขึ้นหน้าให้ เจมี วาร์ดี้ แตะหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนเอี้ยวตัวปั่นด้วยขวา ส่งบอลพุ่งเสียบเสาไกลเข้าไปตุงตาข่าย ช่วยให้เลสเตอร์ขึ้นนำ 1-0

แต่ว่าถัดมาเพียง 5 นาที 'ไอ้ปืนใหญ่' มาตามตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่สวนกลับเร็วเช่นกัน และเป็น ซานติ กาซอร์ลา บรรจงจ่ายทะลุช่องให้ ธีโอ วัลคอตต์ หลุดกับดักหน้าให้ไปในกรอบเขตโทษ ก่อนแปหักข้อด้วยซ้าย ส่งบอลไหลสวนตัว คาสเปอร์ ชไมเคิล เช็ดเสาไกลเข้าไปอย่างเฉียบคม

อย่างไรก็ตาม นาทีที่ 21 อาร์เซนอล ต้องมาเสียโควต้าเปลี่ยนตัวไปโดยปริยาย เนื่องจาก มาติเยอ ฟลามินี่ มีปัญหาอาการบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ทำให้ อาร์แซน เวงเกอร์ ตัดสินใจส่ง มิเกล อาร์เตต้า ลงมาทำหน้าที่แทน

แต่แล้วนาทีที่ 33 กลายเป็น อาร์เซนอล ที่มาได้ประตูพลิกขึ้นนำเป็น 2-1 จากจังหวะที่ เมซุต โอซิล ไขว้ส่งต่อเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวาให้ เฮคเตอร์ เบเยลิน ปาดเลียดเข้ากลางแบบไม่ต้องจับ และเป็นแนวรับเจ้าถิ่นสกัดบอลไม่ขาดไปเข้าทาง อเล็กซิส ซานเซซ แปโล่งๆในกรอบ 6 หลาเข้าไปไม่เหลือ พร้อมกับเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ด้วย

จากนั้นทั้งสองทีมพยายามเปิดเกมบุกแลกกันอย่างสุดมัน แต่ทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ ทำให้จบ 45 นาทีแรก อาร์เซนอล ยังรักษาสกอร์นำอยู่ 2-1

กลับมาเล่นในครึ่งหลัง เคลาดิโอ รานิเอรี กุนซือ เลสเตอร์ ซิตี้ ชิงแก้เกมก่อนทันที โดยถอดเอา ชินจิ โอกาซากิ ศูนย์หน้าทีมชาติญีปุ่น ที่เกมนี้โชว์ฟอร์มไม่ค่อยดีออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง แอนดี้ คิงส์ กองกลางทีมชาติเวลส์ลงมาเล่นแทน

นาทีที่ 57 อาร์เซนอล มาบวกประตูที่สามเพิ่มได้อีก จากลูกที่ อเล็กซิส ซานเซซ ไหลเลียดออกไปทางฝั่งซ้ายให้ เมซุต โอซิล ดึงหลอกหนึ่งจังหวะ ก่อนงัดเข้าไปในกรอบเขตโทษอย่างเหนือชั้นให้ ซานเซซ คนเดิมเติมขึ้นมาโขกตัดหน้า คาสเปอร์ ชไมเคิล เข้าประตูไป ช่วยให้ทีมเยือนหนีห่างเป็น 3-1

อาร์เซนอล ยังเดินหน้าบุกเข้าใส่เจ้าถิ่นอย่างเมามัน กระทั่งนาทีที่ 81 พวกเขามาทำประตูเพิ่มจนได้ จากจังหวะที่ อเล็กซิส ซานเซซ แตะหนี เอ็นโกโล ก็องเต้ กองกลางเจ้าถิ่น ก่อนตะบันด้วยขวาเต็มข้อจากระยะประมาณ 25 หลา ส่งบอลพุ่งเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างสุดสวย ช่วยให้เดอะ กันเนอร์สทิ้งห่างเป็น 4-1

อย่างไรก็ตาม เจ้าบ้านไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อมาได้ประตูไล่ตามมาเป็น 2-4 ในนาทีที่ 89 จากลูกที่ ริยาด มาห์เรซ เปิดจากริมเส้นฝั่งขวาเข้ามาในเขตโทษให้ อันเดรย์ ครามาริช ชาร์จจ่อๆติดเซฟของ ปีเตอร์ เช็ค ก่อนบอลหลุดมาเข้าทาง เจมี วาร์ดี้ อัดเต็มข้อยัดเสาไกลเข้าไปอย่างเด็ดขาด

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อาร์เซนอล มาได้ประตูย้ำชัย จากลูกที่ นาโช มอนเรอัล ปาดเลียดจากฝั่งซ้ายเข้ามาในกรอบเขตโทษให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กองหน้าตัวสำรองเอี้ยวแปด้วยซ้ายเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างเฉียบคม

จบเกม อาร์เซนอล บุกถล่ม เลสเตอร์ ซิตี้ ไปแบบสุดมัน 5-2 เก็บสามแต้มสำคัญ ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 4 ของตาราง มี 13 คะแนนจาก 7 นัด ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่าฝูงอยู่ 3 คะแนน ส่วน เลสเตอร์ หล่นไปอยู่ที่ 6 ของตาราง

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2 - 2 นอริช ซิตี้
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2 - 2 นอริช ซิตี้

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • Boleyn Ground, London
ผู้ตัดสิน: M. Dean • ผู้ชม: 34857


0-1 โรเบิร์ต เบรดี น.9, 1-1 ดิอาฟรา ซาโก น.33, 1-2 นาธาน เรดมอนด์ น.83, 2-2 ชีคู คูยาเต น.93
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 0 ซันเดอร์แลนด์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 0 ซันเดอร์แลนด์
พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • Old Trafford, Manchester
ผู้ตัดสิน: M. Jones • ผู้ชม: 75328

45'+4 MEMPHIS 1-0 // 46' WAYNE ROONEY 2-0 // 90' JUAN MATA 3-0

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 ซันเดอร์แลนด์


เมมฟิส เดปาย และ เวย์น รูนีย์ สองตัวบุกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กอดคอกันเปิดซิงประตูแรกใน พรีเมียร์ ลีก ได้แล้ว หลังเปิดบ้านถล่ม ซันเดอร์แลนด์ ขาดลอย 3-0 ก่อนแซง แมนเชสเตอร์ ซิตี ขึ้นเป็นจ่าฝูงเป็นทางการ

หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือเจ้าบ้าน ตัดสินใจโยก มัตเตโอ ดาร์เมียน ไปยืนแบ็คซ้ายแทน ลุค ชอว์ และ มาร์กอส โรโฆ ที่บาดเจ็บ ส่วนมิดฟิลด์คู่กลางปรับมาใช้ ไมเคิล คาร์ริค ลงเล่นกับ มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน ด้านสองแนวรุกดาวรุ่งอย่าง เมมฟิส เดปาย และ อ็องโตนี มาร์กซิยาล ได้โอกาสกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง

ด้านทีมเยือนของ ดิ๊ค อาตโวคาท ซึ่งกำลังเก้าอี้ร้อนอย่างหนัก หลังตกเป็นกุนซือเต็งหนึ่งที่มีโอกาสถูกปลดมากที่สุด เลือกตัวหลักอย่าง คอสเทล พันติลิมอน, ยูเนส กาบูล, บิลลี โจนส์ และ ลี แคตเตอร์โมล กลับมายืน 11 คนแรกอีกครั้ง ส่วนแนวรุกฝากความหวังในการทำประตูไว้ที่ ฟาบิโอ บอรินี กองหน้าตัวเป้า

เกมใน 45 นาทีแรกเป็นแมนฯยูฯที่ครองบอลบุกได้เหนือกว่าอย่างชัดเจน แต่กว่าจะมาได้ประตูขึ้นนำก็ต้องรอจนถึงช่วงทดเจ็บนาทีที่ 45+4 จากจังหวะที่ ดาลีย์ บลินด์ วางบอลยาวจากกลางสนามให้ ฆวน มาต้า แปะถวานพานต่อให้ เดปาย เข้าฮอร์สจ่อๆเข้าไป เป็นประตูแรกของเจ้าตัวในพรีเมียร์ลีกด้วย ช่วยให้จบครึ่งแรกเป็นปีศาจแดงที่ออกนำอยู่ 1-0

ครึ่งหลังแวบเดียว นาที 46 แมนยูฯ ได้ประตูเร็วทิ้งห่าง 2-0 อองโตนี มาร์กซิยาล ลากมาสุดเส้นหลังแล้วเปิดให้ เวย์น รูนีย์ ใช้เข่าจิ้มเข้าไปง่าย ๆ ขณะที่ นาที 53 ซันเดอร์แลนด์ ขอลูกตีไข่แตก ลี แคทเทอร์โมล ผ่านให้ โอลา ตอยโวเนน ยิงมุมแคบแต่ ดาบิด เด เคอา เซฟได้อีก

นาที 69 ผีแดง พลาดโอกาสทองฝังเพชร อองโตนี มาร์กซิยาล ใจกว้างดั่งแม่น้ำแทงให้ เมมฟิส เดปาย พังลูกที่สองแต่บอลเบาเข้ามือ คอสเทล พานทิลิมอน เฉย ส่วนช่วงท้ายเกม นาที 89 เจ้าบ้านก็มาจัดการตอกฝาโลง แอชลีย์ ยัง เปิดออกขวาให้ ฆวน มาตา ตั้งป้อมยิงตาข่ายแทบขาด จบเกม ชนะ 3-0 เก็บเพิ่ม 16 แต้ม แซง “เรือใบสีฟ้า” ขึ้นจ่าฝูงเรียบร้อย

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด - ดาบิด เด เคอา, คริส สมอลลิง, ดาลีย์ บลินด์, อันโตนิโอ วาเลนเซีย, มัตเตโอ ดาร์เมียน, เมมฟิส เดปาย, ฆวน มาตา, ไมเคิล คาร์ริค, มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน, เวย์น รูนีย์, อองโตนี มาร์กซิยาล
ซันเดอร์แลนด์ - คอสเทล พานทิลิมอน, บิลลี โจนส์, แพทริค ฟาน อันโฮล์ต, ยูเนส กาบูล, จอห์น โอเชีย, ลี แคทเทิลโมล, อดัม จอห์นสัน, เจเรเมน เลนส์, โอลา ตอยโวเนน, ยานน์ เอ็มวีลา, ฟาบิโอ บอรินี

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 0 อิปสวิช ทาวน์
LEAGUE CUP
24 กันยายน 2015 • 2:00 • Old Trafford, Manchester
ผู้ตัดสิน: S. Hooper


23' WAYNE ROONEY 1-0 // 60' ANDREAS PEREIRA 2-0 // 90' ANTHONY MARTIAL 3-0

ดาวรุ่งชาวบราซิเลียน เปิดตัวยังโรงละครแห่งความฝันในฐานะตัวจริงของปีศาจแดงนัดแรก ด้วยการปั่นฟรีคิกสุดสวยพาทีมกรุยทางสู่รอบ 4 ของศึกแคปิตอล วัน คัพ ได้สำเร็จ

หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือเจ้าบ้าน ตัดสินใจให้โอกาส อันเดรียส เปเรย์รา มิดฟิลด์ดาวรุ่งชาวบราซิล ออกสตาร์ตเป็น 11 ตัวจริงครั้งแรก โดยจะลงทำเกมรุกร่วมกับรุ่นพี่อย่าง ฆวน มาต้า, มารูยาน เฟลไลนี และ เวย์น รูนีย์ ด้าน แอชลีย์ ยัง กับ อันโตนิโอ วาเลนเซีย ถูกจับโยกไปประจำการแบ็คซ้ายและขวาตามลำดับ

ด้านทีมเยือนจากลีกแชมเปี้ยนชิพของ มิค แม็คคาร์ทีย์ เปลี่ยนแปลง 11 คนแรกจากเกมก่อนที่เปิดบ้านเสมอกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ 1-1 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาแบบยกชุด นำโดยสองคู่กองหน้าอย่าง ดารีล เมอร์ฟีย์ และ เดวิด แม็คโกลด์ริค ซึ่งจะลงประสานงานในแนวรุกร่วมกับ เควิน บรู และ ทอมมี โออาร์

เริ่มเกมมาเป็นแมนฯยูฯที่ครองบอลบุกเข้าใส่ทันที จนกระทั่งนาทีที่ 23 ก็มาพังประตูขึ้นนำได้สำเร็จ จากจังหวะที่ ดาลีย์ บลินด์ วางบอลยาวจากกลางสนามให้ รูนีย์ เบียดเอาชนะแนวรับอิปสวิชก่อนจะหลุดไปยิงด้วยซ้ายเข้าไป ส่งให้ปีศาจแดงออกนำ 1-0

หลังจากนั้นยังเป็นเจ้าบ้านที่ทำเกมรุกได้เหนือกว่า แต่ไม่สามารถใส่สกอร์ที่สองเพิ่มเติมได้ ทำให้จบ 45 นาทีแรกเป็นแมนฯยูฯนำอยู่ 1-0 เหมือนเดิม

เข้าสู่ครึ่งหลังก็ยังเป็นปีศาจแดงที่รูปเกมเหนือกว่ามาก จนกระทั่งนาทีที่ 60 ก็มาบวกลูกสองเพิ่มได้อีก จากการปั่นฟรีคิกบริเวณหัวกะโหลกของ เปเรย์รา บอลโค้งข้ามกำแพงเช็ดเสาเข้าไปอย่างสวยงาม และถือเป็นประตูแรกในทีมชุดใหญ่ของเจ้าตัวด้วย ช่วยให้เจ้าบ้านหนีห่างเป็น 2-0

ช่วงทดเจ็บปีศาจแดงมาได้ประตูที่สามปิดท้าย จากจังหวะที่ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ วางบอลยาวจากกลางสนามให้ เมมฟิม เดปาย แตะบอลต่อให้ อ็องโตนี มาร์กซิยาล หลุดไปซัดผ่านมือนายด่านอิปสวิชเข้าไป ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เอาชนะไปแบบไม่ยากเย็น 3-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ของศึกแคปิตอล วัน คัพ ได้สำเร็จ
เซาแธมป์ตัน 2 - 3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เซาแธมป์ตัน 2 - 3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ลีก
20 กันยายน 2015 • 22:00 • St. Mary's Stadium, Southampton, Hampshire
ผู้ตัดสิน: ม. แคล็ทเทนเบิร์ก • ผู้ชม: 31588

13' Graziano Pelle 1-0 // 34' Anthony Martial 1-1 // 50' Anthony Martial 1-2 // 68' Juan Mata 1-3 // 86' Graziano Pelle 2-3

เจ้าของฉายานิวอองรีเริ่มปล่อยของออกมาเรื่อยๆ หลังเหมายิงคนเดียวสองประตูพาปีศาจแดงบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้เดอะ เซนต์ พร้อมแซงเวสต์แฮมขึ้นรั้งรองจ่าฝูง

“ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พิชิต “นักบุญ” เซาแธมป์ตัน แบบหวุดหวิด 3-2 จากประตูของ อองโตนี มาร์กซิยาล (2 ลูก) และ ฆวน มาตา ที่สนาม เซนต์ แมรี เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ขยับรั้งอันดับ 2 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ กวด แมนเชสเตอร์ ซิตี 2 แต้ม


ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เซาแธมป์ตัน 2-3 แมนฯ ยูไนเต็ด


โรนัลด์ คูมัน กุนซือเจ้าบ้าน ปรับทัพจากเกมก่อนที่บุกไปเสมอกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 0-0 ทั้งสิ้ง 3 ราย ได้แก่ มายะ โยชิดะ, โอริโอล โรเมอู และ ซาดิโอ มาเน ที่ได้โอกาสลงเป็นตัวจริงแทน เซดริก โซอาเรส, สตีเวน เดวิส และ เจย์ โรดริเกวซ ขณะที่แนวรุกยังฝากความหวังไว้ที่ ดูซาน ทาดิช กับ กราเซียโน เปลเล เหมือนเดิม

ด้านทีมเยือนของ หลุยส์ ฟาน กัล ได้ เวย์น รูนีย์ กองหน้ากัปตันทีมหายเจ็บกลับมาลงสนามอีกครั้ง ด้านมิดฟิลด์คู่กลางเปลี่ยนมาใช้ มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน ที่จะได้กลับมาเยือนถิ่นเก่า ลงเล่นร่วมกับ ไมเคิล คาร์ริค ส่วนแบ็คซ้ายทีเสีย ลุค ชอว์ ซึ่งขาหักพักยาวไปแล้ว เป็นฌิกาสของ มาร์กอส โรโฆ ที่ได้ลงเล่นแทน

เปิดฉากเกมมาเป็นเซาแธมป์ตันที่ลุยเข้าใส่ทันที จนกระทั่งนาทีที่ 13 ก็มาได้ประตูขึ้นนำ จากจังหวะที่ เจมส์ วอร์ด พราวส์ เปิดบอลจากกราบขวาเข้าเขตโทษให้ มาเน โฉบมายิงติดเซฟ ดาบิด เด เฮอา ไปเข้าทาง เปลเล ซ้ำจ่อๆไม่เหลือซาก ส่งให้นักบุญออกนำ 1-0

หลังจากนั้นก็ยังเป็นเจ้าบ้านที่ครองเกมบุกได้เหนือกว่า แต่แล้วในนาทีที่ 34 กลับเป็นแมนฯยูฯที่ได้มาได้ประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ ชไนเดอร์ลิน โหม่งหนุนเข้าไปในเขตโทษ ก่อนจะเป็น โชเซ ฟอนเต้ ที่เบียดเอาชนะ ฆวน มาต้า ได้แต่สะกัดบอลไม่ดีมาเข้าทาง อ็องโตนี มาร์กซิยาล ล็อคหลบ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ อย่างเหนือชั้นแล้วยิงเข้าไปง่ายๆ ทำให้สกอร์กลับมาเท่ากันอีกครั้งที่ 1-1 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

เข้าสู่ครึ่งหลังปีศาจแดงเป็นฝ่ายพลิกขึ้นนำบ้างแบบส้มหล่น ในนาทีที่ 50 จากความผิดพลาดของ มายะ โยชิดะ ที่ส่งคืนหลังไม่ดีมาเข้าทาง มาร์กซิยาล เก็บตกบอลไปเอี้ยวตัวแปด้วยขวาเข้าไปอย่างเด็ดขาด ช่วยให้ทีมเยือนแซงนำ 2-1

ถัดมานาทีที่ 68 แมนฯยูฯมาบวกลูกสามได้อีก จากจังหวะที่ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ตัวสำรองซึ่งลงไแทน คาร์ริค ก่อนหน้านั้น 8 นาที ไหลเข้าช่องให้ เมมฟิส เดปาย ล็อคหลบ ฟอนเต้ แล้วยิงชนเสาไปเข้าทาง มาต้า ซ้ำเหน่งๆตุงตาข่าย ส่งให้ปีศาจแดงหนีห่างเป็น 3-1

จากนั้นช่วงท้ายเกมนาทีที่ 86 เซาแธมป์ตันมาได้ประตูตีตึ้น จากจังหวะที่ มาเน โยนบอลจากริมกรอบเขตโทษฝั่งขวาให้ เปลเล เทกตัวโขกคนเดียวแบบไร้ตัวประกบเข้าไป ส่งให้นักบุญไล่มาเป็น 2-3

ช่วงทดเจ็บ ดาบิด เด เคอา นายทวาร ยูไนเต็ด สวมบทฮีโร่ พุ่งปัดลูกยิงไกลของ วิคเตอร์ วันยามา ตามด้วยเซฟลูกโขกเตะมุมฝั่งซ้ายของ โฆเซ ฟอนเต จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะไป 3-2 เก็บเพิ่มเป็น 13 แต้ม จาก 6 นัด

รายชื่อ 11 ตัวจริง
เซาแธมป์ตัน : มาร์เตน สเตเคเลนเบิร์ก , มายะ โยชิดะ , โฆเซ ฟอนเต , เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก , แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์ , ซาดิโอ มาเน , ดูซาน ทาดิช , วิคเตอร์ วันยามา , โอริโอล โรเมอู , เจมส์ วอร์ด-พราวส์ , กราเซียโน เปลเล
แมนฯ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา , มาร์คอส โรโฮ , คริส สมอลลิง , เดลีย์ บลินด์ , มัตเตโอ ดาร์เมียน , เมมฟิส เดปาย , ฆวน มาตา , เวย์น รูนีย์ , ไมเคิล คาร์ริค , มอร์แกน ชไนเดอร์แลง , อองโตนี มาร์กซิยาล
ลิเวอร์พูล 1 - 1 นอริช ซิตี้
ลิเวอร์พูล 1 - 1 นอริช ซิตี้
พรีเมียร์ลีก
20 กันยายน 2015 • 22:00 • Anfield, Liverpool
ผู้ตัดสิน: A. Taylor • ผู้ชม: 44072

48' Danny ings 1-0 // 61' Russell Martin 1-1

ทัพหงส์แดงทำได้เพียงเปิดบ้านแบ่งแต้มกับนกขมิ้นเหลืองอ่อน แม้ว่า แดนนี อิงส์ จะปลดล็อคประตูแรกได้ แต่ทีมก็โดนตามตีเสมอก่อนจบที่ 1-1

เกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 6 'หงส์แดง' ลิเวอร์พูลเปิดรังเหย้า แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ 'นกขมิ้นเหลืองอ่อน' นอริช ซิตี้ โดยที่ทั้งสองทีมมี 7 คะแนนเท่ากัน

เจ้าบ้านมีข่าวดีเมื่อ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ สามารถกลับมามีชื่อเป็นตัวจริงลงสนามได้ ในขณะที่ เบนเทเก้ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม พร้อมทั้ง คูตินโญ ที่ติดโทษแบนในนัดก่อนก็กลับมาเช่นเดียวกัน

ส่วนทางฝั่งทีมเยือนก็ส่งผู้เล่นชุดหลักเช่นกันทั้ง คาเมรอน เจอโรม, นาธาน เรดมอนด์, อเล็กซานเดอร์ เท็ตตีย์, สตีเวน วิธเทเกอร์

เริ่มเกมเป็นทีมเยือนที่เปิดเกมรุกกดดันได้มากกว่า 15 นาทีแรกเป็นนอริชที่ครองบอลแต่ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่อันตรายได้มากนัก

ลิเวอร์พูลเริ่มตั้งเกมได้ นาทีที่ 17 โมเรโน พาบอลหนีตัวประกบไปได้ทางริมเส้นฝั่งซ้าย ก่อนจ่ายเรียดเข้ากลาง บอลไปถึงเจมส์ มิลเนอร์ส สับไกยิงเต็มข้อ แต่บอลยังไปติดบล็อคของ วิธเทเกอร์

นาทีที่ 33 แข้งเจ้าถิ่นเล่นผิดพลาดเสียบอลเอง ลูคัส เลวา มองเห็นช่องจ่ายยาวไปให้ สเตอร์ริดจ์ มีทั้งเวลา และพื้นที่ในการจบสกอร์ แต่ยังยิงไปติดตัวของนายประตูทีมเยือน

ลิเวอร์พุลเริ่มรุกได้อย่างต่อเนื่องและในนาทีที่ 36 เป็นบอลจากโมเรโนอีกครั้งที่จ่ายจากฝั่งซ้ายเข้ากลาง มิลเนอร์ส ทำชิ่งกับ เบนเทเก้ ก่อนที่จังหวะสุดท้ายจะไปติดตัวของ รัดดี้ มือกาวคนเดิมที่วันนี้เจองานหนัก

เกมโต้กลับเร็วของลิเวอร์พูลนาทีที่ 40 โมเรโน พาบอลมาจากแดนเจ้าถิ่นถึงหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนออกบอลให้ เบนเทเก้ ไปเองไม่ได้คืนมาที่แถวสอง มีคูตินโญ เติมขึ้นมายิง แต่บอลแฉลบผู้เล่นนอริช จอห์น รัดดี้ รับไว้ได้สบายมือ

ท้ายครึ่งแรกเกมยังไม่เร่งมากนักและยังไม่มีใครเบิกสกอร์ได้จบแบบไร้สกอร์

ครึ่งหลังลิเวอร์พูลมีการถอด เบนเทเก้ ออก และส่งแดนนี อิงส์ ลงมาร่วมล่าตาข่ายกับ สเตอร์ริดจ์

ลิเวอร์พูลขึ้นนำตั้งแต่ในช่วงต้นครึ่งหลัง นอริชเสียบอลที่กลางสนาม บอลมาเข้าเทา โมเรโน มองเห็นช่องโยนยาวไปให้ แดนนี อิงส์ พักอกเอาบอลลง ก่อนยิงรอดขาของ รัดดี้ให้ทีมหงส์แดงขึ้นนำ 1-0

ลิเวอร์พูลได้บุกอย่างต่อเนื่อง นาทีที่ 54 สเตอร์ริดจ์ จ่ายทะลุช่องให้ คูตินโญ แต่ยังยิงหลุดกรอบออกไปเอง

นอริชตามตีเสมอได้สำเร็จ! นาทีที่ 60 นอริชได้เตะมุมเป็นครั้งแรกของเกม บอลโยนเข้ามาหน้าปากประตู มิโญเลต์ ชกบอลออกไปไม่พ้นอันตราย รัสเซลล์ มาร์ติน พักออกก่อนตวัดเข้าส่งบอลเข้าก้นตาข่ายตีไข่แตกให้ทีมเยือน

ทั้งสองทีมเร่งจังหวะของเกมมากขึ้น นาทีที่ 65 ลิเวอร์พูลได้จบสกอร์อีกครั้ง คราวนี้เป็น โมเรโน ที่ลองส่องประตูด้วยตัวเอง บอลตรงกรอบที่มุมซ้ายบน แต่ รัดดี้ เซฟเอาไว้ได้

นาทีที่ 77 เป็นอีกหนึ่งโอกาสทองที่ใกล้เคียงการเป็นประตูที่สุดของลิเวอร์พูล เฟร์มิโน ออกบอลให้ คูตินโญ หลุดเดี่ยวมาทางฝั่งขวา ตรงกลางมี แดนนี อิงส์ เติมขึ้นมาโล่งเช่นกัน แต่ คูตินโญ ตัดสินใจยิงด้วยตัวเองติดเซฟของรัดดี้

นาทีที่ 79 คูตินโญ ยังพยายามลองลากเข้ามายิงที่หน้ากรอบเขตโทษ บอลแฉลบผู้เล่นนอริช หลุดกรอบไปเป็นเตะมุม บอลเตะมุมเข้ามาก็เข้ามือของ รัดดี้ ที่ออกมาโดดคว้าสบายๆ

นาทีที่ 81 ลัลลานาพยายามเลี้ยงบอลผ่านแผงหลังนอริช บอลโดนสกัดแต่ยังเข้าทาง อิงส์ เลี้ยงไปต่อในเขตโทษ หนีเซฟของรัดดี้เล็กน้อย แต่บอลเสียจังหวะ หลุดออกหลังไปก่อนที่จะได้ยิง

ช่วงท้ายเกมลิเวอร์พูลยังได้เข้าทำอีกหลายครั้งแต่ไม่สามารถปิดสกอร์ได้ทำให้ต้องแบ่งแต้มกับ นอริชไปด้วยสกอร์ 1-1
ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส 1 - 0 คริสตัล พาเลซ
ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส 1 - 0 คริสตัล พาเลซ
พรีเมียร์ลีก
20 กันยายน 2015 • 19:30 • White Hart Lane, London
ผู้ตัดสิน: M. Oliver • ผู้ชม: 35723

62' Heung-Min Son 1-0

ซอน ฮอง มิน ศูนย์หน้าป้ายแดง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ซัดตุงแรก ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เชือด คริสตัล พาเลซ แบบหวุดหวิด 1-0 ที่สนาม ไวท์ ฮาร์ท เลน เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา

เมาริซิโอ โปเช็ตติโน นายใหญ่ 'ไก่เดือยทอง' กลับมาใช้ผู้เล่นชุดใหญ่ที่ได้พักในเกมยุโรปกลางสัปดาห์ลงสนามครบครับ นำโดย แยน แฟร์ตองเก้น, ไคล์ วอล์คเกอร์, เบน เดวีส์ และ แฮร์รี เคน พร้อมกับถอย ซน ฮึงมิน ลงมาทำเกมสนับสนุนกองหน้าร่วมกับ นาเซอร์ ชาดลี และ เอริค ลาเมลา

ขณะที่ทัพ 'ปราสาทเรือนแก้ว' ของกุนซือ อลัน พาร์ดิว เปลี่ยนแปลงผู้เล่นเพียงรายเดียวเท่านั้นจากเกมนัดก่อน ที่เปิดบ้านพ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1 โดยไม่มีชื่อของ สกอตต์ แดนน์ กองหลังเลือดผู้ดีที่มีปัญหาเรื่องความฟิต ทำให้ ดาเมียน เดลานีย์ เซ็นเตอร์ทีมชาติไอร์แลนด์ได้โอกาสลงมาเล่นแทน

เกมผ่านมาถึงนาทีที่ 16 เจ้าบ้านเริ่มหาโอกาสเปิดฉากทักทายก่อน จากจังหวะที่ เอริค ลาเมลา พลิกหนีตัวประกบ ก่อนกดด้วยซ้ายเต็มข้อจากระยะประมาณ 25 หลา บอลกำลังจะพุ่งเสียบเสาอยู่แล้ว แต่ว่านายด่าน พาเลซ อย่าง อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ ยังปฏิกิริยาไวพุ่งปัดสุดปลายมือออกไปได้อย่างหวุดหวิด

4 นาทีต่อมา เจ้าถิ่นได้โอกาสอีกครั้ง จากลูกที่ แฮร์รี เคน ไหลจากกราบซ้ายเข้าไปในเขตโทษให้ ซน ฮึงมิน เคาะย้อนกลับมาตรงบริเวณหัวกระโหลกให้ นาเซอร์ ชาดลี วางเท้าแปด้วยขวา แต่ว่าบอลไร้น้ำหนักและพุ่งไปตรงตัว อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ ทำให้นายทวารเลือดผู้ดีล้มตัวรับเข้าซองเอาไว้ได้ไม่มีปัญหา

จากนั้นรูปเกมยังเป็น สเปอร์ส ที่โหมบุกอย่างหนัก และมาได้โอกาสอีกครั้ง ในนาทีที่ 31 จากลูกที่ นาเซอร์ ชาดลี บรรจงไหลถวายพานไปตรงบริเวณหัวกระโหลกให้ เดเล อัลลี วิ่งมาตะบันด้วยขวาเน้นๆ ทำให้ อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ ต้องออกแรงพุ่งปัดออกไปอีกเช่นเคย ่

ถัดมาเพียงนาทีเดียว พาเลซ เริ่มตอบโต้คืนบ้าง จากลูกฟรีคิกระยะน่ารักน่าลุ้น ประมาณ 22 หลา เยื้องออกมาทางฝั่งขวา และเป็น บาคารี ซาโก้ รับหน้าที่ปั่นด้วยซ้าย บอลกำลังจะฮุคเสียบใต้คานอยู่แล้ว แต่ว่า ฮูโก้ โยริส โชว์ซูเปอร์เซฟ ด้วยการบินปัดสุดปลายมือออกไปอย่างยอดเยี่ยม

ก่อนหมดครึ่งแรก 1 นาที พาเลซ น่ามาได้ประตูขึ้นนำแบบสุดๆ จากลูกที่ วิลฟรีด ซาฮา บรรจงไหลเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวาให้ โยฮัน กาบาย ตวัดไซร้ก้อยด้วยขวา บอลโค้งหนีมือ ฮูโก้ โยริส พุ่งไปชนเสาไกลอย่างจัง ทำให้จบ 45 นาทีแรกยังคงเสมอกันแบบไร้สกอร์ 0-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลัง คริสตัล พาเลซ ชิงแก้เกมก่อนทันที โดยถอดเอา วิลฟรีด ซาฮา ออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง เฟร์เซอร์ แคมป์เบลล์ ลงมาทำหน้าที่แทน

นาทีที่ 52 เจ้าถิ่นเริ่มเปิดฉากทักทายทันที จากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 22 หลาเยื้องไปทางฝั่งซ้าย และเป็น เอริค ลาเมลา รับหน้าที่บรรจงปั่นด้วยซ้ายเน้นๆ บอลกำลังจะโค้งเสียบใต้คานอยู่แล้ว แต่ว่า อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ ยังลอยตัวปัดออกไปได้

นาทีที่ 58 แฟนสเปอร์สต้องลุกขึ้นเฮกันเก้อ จากจังหวะที่ ซน ฮึงมิน กระชากหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนกดเลียดไปติดเซฟของ อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ บอลลอยโด่งหน้าปากประตูเข้าทาง เบน เดวีส์ โหม่งจังหวะแรกไม่ดี แต่บอลยังลอยมาเข้าทางให้โหม่งซ้าดาบสองเข้าไปตุงตาข่าย แต่ว่าผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงล้ำหน้า จากจังหวะที่ แฮร์รี เคน พยายามจะเล่นบอลไปก่อนหน้านี้แล้ว

กระทั่งนาทีที่ 68 เจ้าถิ่นมาทำประตูออกนำไปก่อนจนได้ จากจังหวะสวนกลับเร็วจากแดนตัวเอง เริ่มจาก เอริค ลาเมลา ไหลขึ้นหน้าให้กับ คริสเตียน อีริคเซน ตัวสำรองส่งต่อให้ ซน ฮึงมิน พาบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนกดเลียดด้วยซ้ายแฉลบลอดขา อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ เข้าไปตุงตาข่าย ช่วยให้สเปอร์สขึ้นนำ 1-0 พร้อมกับเป็นประตูแรกในลีกอังกฤษของเจ้าตัวด้วย

จบเกม ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เอาชนะไป 1-0 เก็บเพิ่มเป็น 9 แต้ม จาก 6 นัด

รายชื่อ 11 ตัวจริง
สเปอร์ส : ฮูโก โยริส , ไคล์ วอล์คเกอร์ , โทบี ไอเดอร์ไวเรลด์ , แยน แฟร์ตองเกน , เบน เดวิส , ซอง ฮอง มิน , เอริก ลาเมลา , เอริค ไดเออร์ , เดเล อัลลี , เนเซอร์ แชดลี , แฮร์รี เคน
คริสตัล พาเลซ : อเล็กซ์ แม็คคาร์ธี , เบรเด ฮังเกลันด์ , ปาเป ซูอาเร , ดาเมียน เดลานีย์ , มาร์ติน เคลลี , โยฮัน กาบาย , วิลฟรีด ซาฮา , เจมส์ แม็คอาร์เธอร์ , บาการี ซาโก , เจสัน พันเชียน , ยานนิค โบลาซี
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 1 - 2 วัตฟอร์ด
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 1 - 2 วัตฟอร์ด
St. James' Park, Newcastle-upon-Tyne
ผู้ตัดสิน: R. East • ผู้ชม: 47806

10' Ighalo 0-1 // 28' Odion Ighalo 0-2 // 62' Daryl Janmaat 1-2
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...

ป้ายกำกับ

ข่าวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (360) ข่าวสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (98) พรีเมียร์ลีก 2011/2012 (87) แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (66) พรีเมียร์ลีก 2010/2011 (58) พรีเมียร์ลีก 2015/2016 (48) ลิเวอร์พูล (33) อาร์เซนอล (30) พรีเมียร์ลีก 2012/2013 (29) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (29) เชลซี (27) ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส (26) สโต๊ค ซิตี้ (26) นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (24) แอสตัน วิลล่า (23) เอฟเวอร์ตัน (21) เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (20) ฟูแล่ม (18) นอริช ซิตี้ (17) ฟุตบอลอุ่นเครื่อง/กระชับมิตร (17) สวอนซี ซิตี้ (17) ซันเดอร์แลนด์ (16) พรีเมียร์ลีก 2014/2015 (16) วีแกน (16) แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส (14) โบลตัน (14) UEFA (13) วูล์ฟแฮมป์ตัน (13) ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส (12) เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (11) เซาธ์แฮมป์ตัน (9) เลสเตอร์ ซิตี้ (7) วัตฟอร์ด (6) เบอร์มิงแฮม ซิตี้ (6) แบล็คพูล (6) คริสตัล พาเลส (5) พรีเมียร์ลีก 2016/2017 (5) เอเอฟซี บอร์นมัธ (5) พรีเมียร์ลีก 2013/2014 (4) เรดดิง (4) บาร์เซโลนา (3) ชาลเก้ 04 (2) วาเลเรนกา (2) LEAGUE CUP (1) กลาสโกว์ เรนเจอร์ (1) กว่างตง (1) กาลาตาซาราย (1) คลิปในตำนานแมนยูฯ (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2010/2011 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2011/2012 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2012/2013 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2013/2014 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2015/2016 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2016/2017 (1) นิวยอร์ค คอสมอส (1) บาเลนเซีย (1) พีเอสวี (1) ฟุตบอลเอฟเอ คัพ (1) ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก (1) รีล มาดริด (1) อิปสวิช ทาวน์ (1) เบิร์นลี่ย์ (1) เอฟเอ คัพ (1) แอธเลติก บิลเบา (1) โคโลญจน์ (1) โวล์ฟบวร์ก (1) ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน (1)
ขับเคลื่อนโดย Blogger.