เลสเตอร์ ซิตี้ 2 - 5 อาร์เซนอล

เลสเตอร์ ซิตี้ 2 - 5 อาร์เซนอล
เลสเตอร์ ซิตี้ 2 - 5 อาร์เซนอล

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • King Power Stadium, Leicester, Leicestershire
ผู้ตัดสิน: C. Pawson • ผู้ชม: 32047


1-0 เจมี วาร์ดี น.13, 1-1 ธีโอ วัลคอตต์ น.18, 1-2 อเล็กซิส ซานเชซ น.33, 1-3 อเล็กซิส ซานเชซ น.57, 1-4 อเล็กซิส ซานเชซ น.81, 2-4 เจมี วาร์ดี น.89, 2-5 โอลิวิเยร์ ชิรูด์ น.93

เลสเตอร์ ซิตี 2-5 อาร์เซนอล

แนวรุกทีมชาติชิลีกลับมาระเบิดฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง หลังเหมา 3 ประตู พา อาร์เซนอล บุกหยุดสถิติไร่พ่ายของ เลสเตอร์ ซิตี้ ไว้ที่ 6 นัด

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำสัปดาห์ที่ 7 ที่คิงพาวเวอร์ สเตเดียม ระหว่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนเกมรั้งอันดับ 4 ของตาราง เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ อาร์เซนอล ก่อนเกมรั้งอันดับ 6 ของตาราง

เคลาดิโอ รานิเอรี ผู้จัดการทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจพัก โกคาน อินแลร์ ไว้ที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง มาร์ค อัลไบรท์ตัน ลงมาเล่นแทน นอกนั้นยังเป็นผู้เล่นชุดเดิมจากเกมลีกนัดก่อน ที่บุกยันเสมอ สโต๊ค ซิตี้ 2-2 นำโดย คาสเปอร์ ชไมเคิล (ผู้รักษาประตู), เวส มอร์แกน, แดนนี ดริ๊งค์วอเตอร์, ริยาด มาห์เรซ และแดนหน้าให้ เจมี วาร์ดี้ จับคู่กับ ชินจิ โอกาซากิ

ขณะที่ฝั่ง อาร์เซนอล ของกุนซือ อาร์แซน เวงเกอร์ ยังคงให้ มาติเยอ ฟลามินี่ ฮีโร่ผู้ทำ 2 ประตูในเกมเขี่ย ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ตกรอบ 3 ลีกคัพ ยืนปักหลักในแดนกลางเช่นเคย พร้อมกับมาใช้ ธีโอ วัลคอตต์ ยืนเป็นหน้าเป้าไล่ล่าตาข่ายอีกครั้ง โดยมี อเล็กซิส ซานเซซ, อารอน แรมซีย์ และ เมซุต โอซิล คอยเติมเกมสนับสนุนอยู่ด้านหลัง

เริ่มเกมมาได้เพียง 13 นาที กลายเป็นเจ้าบ้านที่มาทำประตูออกนำไปก่อน จากจังหวะสวนกลับเร็ว และเป็น แดนนี ดริ๊งค์วอเตอร์ บรรจงสาดยาวจากแดนตัวเองขึ้นหน้าให้ เจมี วาร์ดี้ แตะหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนเอี้ยวตัวปั่นด้วยขวา ส่งบอลพุ่งเสียบเสาไกลเข้าไปตุงตาข่าย ช่วยให้เลสเตอร์ขึ้นนำ 1-0

แต่ว่าถัดมาเพียง 5 นาที 'ไอ้ปืนใหญ่' มาตามตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่สวนกลับเร็วเช่นกัน และเป็น ซานติ กาซอร์ลา บรรจงจ่ายทะลุช่องให้ ธีโอ วัลคอตต์ หลุดกับดักหน้าให้ไปในกรอบเขตโทษ ก่อนแปหักข้อด้วยซ้าย ส่งบอลไหลสวนตัว คาสเปอร์ ชไมเคิล เช็ดเสาไกลเข้าไปอย่างเฉียบคม

อย่างไรก็ตาม นาทีที่ 21 อาร์เซนอล ต้องมาเสียโควต้าเปลี่ยนตัวไปโดยปริยาย เนื่องจาก มาติเยอ ฟลามินี่ มีปัญหาอาการบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ทำให้ อาร์แซน เวงเกอร์ ตัดสินใจส่ง มิเกล อาร์เตต้า ลงมาทำหน้าที่แทน

แต่แล้วนาทีที่ 33 กลายเป็น อาร์เซนอล ที่มาได้ประตูพลิกขึ้นนำเป็น 2-1 จากจังหวะที่ เมซุต โอซิล ไขว้ส่งต่อเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวาให้ เฮคเตอร์ เบเยลิน ปาดเลียดเข้ากลางแบบไม่ต้องจับ และเป็นแนวรับเจ้าถิ่นสกัดบอลไม่ขาดไปเข้าทาง อเล็กซิส ซานเซซ แปโล่งๆในกรอบ 6 หลาเข้าไปไม่เหลือ พร้อมกับเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ด้วย

จากนั้นทั้งสองทีมพยายามเปิดเกมบุกแลกกันอย่างสุดมัน แต่ทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ ทำให้จบ 45 นาทีแรก อาร์เซนอล ยังรักษาสกอร์นำอยู่ 2-1

กลับมาเล่นในครึ่งหลัง เคลาดิโอ รานิเอรี กุนซือ เลสเตอร์ ซิตี้ ชิงแก้เกมก่อนทันที โดยถอดเอา ชินจิ โอกาซากิ ศูนย์หน้าทีมชาติญีปุ่น ที่เกมนี้โชว์ฟอร์มไม่ค่อยดีออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง แอนดี้ คิงส์ กองกลางทีมชาติเวลส์ลงมาเล่นแทน

นาทีที่ 57 อาร์เซนอล มาบวกประตูที่สามเพิ่มได้อีก จากลูกที่ อเล็กซิส ซานเซซ ไหลเลียดออกไปทางฝั่งซ้ายให้ เมซุต โอซิล ดึงหลอกหนึ่งจังหวะ ก่อนงัดเข้าไปในกรอบเขตโทษอย่างเหนือชั้นให้ ซานเซซ คนเดิมเติมขึ้นมาโขกตัดหน้า คาสเปอร์ ชไมเคิล เข้าประตูไป ช่วยให้ทีมเยือนหนีห่างเป็น 3-1

อาร์เซนอล ยังเดินหน้าบุกเข้าใส่เจ้าถิ่นอย่างเมามัน กระทั่งนาทีที่ 81 พวกเขามาทำประตูเพิ่มจนได้ จากจังหวะที่ อเล็กซิส ซานเซซ แตะหนี เอ็นโกโล ก็องเต้ กองกลางเจ้าถิ่น ก่อนตะบันด้วยขวาเต็มข้อจากระยะประมาณ 25 หลา ส่งบอลพุ่งเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างสุดสวย ช่วยให้เดอะ กันเนอร์สทิ้งห่างเป็น 4-1

อย่างไรก็ตาม เจ้าบ้านไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อมาได้ประตูไล่ตามมาเป็น 2-4 ในนาทีที่ 89 จากลูกที่ ริยาด มาห์เรซ เปิดจากริมเส้นฝั่งขวาเข้ามาในเขตโทษให้ อันเดรย์ ครามาริช ชาร์จจ่อๆติดเซฟของ ปีเตอร์ เช็ค ก่อนบอลหลุดมาเข้าทาง เจมี วาร์ดี้ อัดเต็มข้อยัดเสาไกลเข้าไปอย่างเด็ดขาด

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อาร์เซนอล มาได้ประตูย้ำชัย จากลูกที่ นาโช มอนเรอัล ปาดเลียดจากฝั่งซ้ายเข้ามาในกรอบเขตโทษให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กองหน้าตัวสำรองเอี้ยวแปด้วยซ้ายเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างเฉียบคม

จบเกม อาร์เซนอล บุกถล่ม เลสเตอร์ ซิตี้ ไปแบบสุดมัน 5-2 เก็บสามแต้มสำคัญ ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 4 ของตาราง มี 13 คะแนนจาก 7 นัด ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่าฝูงอยู่ 3 คะแนน ส่วน เลสเตอร์ หล่นไปอยู่ที่ 6 ของตาราง

เชลซี 2 - 0 อาร์เซนอล

เชลซี 2 - 0 อาร์เซนอล
เชลซี 2 - 0 อาร์เซนอล
พรีเมียร์ลีก
19 กันยายน 2015 • 18:45 • Stamford Bridge, London
ผู้ตัดสิน: M. Dean • ผู้ชม: 41584

53' Zouma 1-0 // 90' Eden Hazard 2-0

เชลซี ของ โชเซ มูรินโญ คว้าชัยชนะ 2 เกมรวดต่อจาก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก หลังเปิดบ้านพัง อาร์เซนอล ที่เหลือ 9 คนในสนามไป 2-0 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา

เกมนี้ โชเซ มูรินโญ นายใหญ่ 'สิงโตน้ำเงินคราม' เชลซี ยังคงดร็อปกัปตันทีมอย่าง จอห์น เทอร์รี่ ไว้ที่ข้างสนาม และให้ แกรี่ เคฮิลล์ ยืนจับคู่กับ เคิร์ท ซูมา ในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง พร้อมกลับมาใช้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, เนมานยา มาติช, เปโดร โรดริเกซ และ ดิเอโก้ คอสต้า เป็นตัวจริงอีกครั้ง หลังได้พักในเกมยุโรปกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะที่ 'ปืนใหญ่' อาร์เซนอล ของกุนซือ อาร์แซน เวงเกอร์ ยังคงยึด 11 ผู้เล่นตัวจริงจากเกมลีกสัปดาห์ก่อน ที่เปิดบ้านเอาชนะ สโต๊ค ซิตี้ 2-0 นำโดย ปีเตอร์ เช็ค (ผู้รักษาประตู), โลร็องต์ กอสเซียลนี, เฮคเตอร์ เบเยลิน, ซานติ กาซอร์ลา, เมซุต โอซิล, อเล็กซิส ซานเซซ และหน้าเป้าเป็น ธีโอ วัลคอตต์

รูปเกมครึ่งแรก เป็นเจ้าบ้านที่ครองบอลบุกแทบจะฝ่ายเดียว แต่ไม่มีโอกาสลุ้นประตูเท่าที่ควร กระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เมื่อ ดิเอโก้ คอสต้า ไปฮึดฮัดใส่ โลร็องต์ กอสเซียลนี ในกรอบเขตโทษของ อาร์เซนอล ทำให้ กาเบรียล เปาลิสต้า ต้องเข้ามาช่วยห้าม แต่กลายเป็นว่า คอสต้า กลับมามีเรื่องกับ เปาลิสต้า แทนก่อนผู้ตัดสินแจกใบเหลืองให้กับทั้งคู่

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เปาลิสต้า ถอยไปเหยียบเท้าของ คอสต้า ทำให้กองหน้าทีมชาติสเปนฟ้องผู้ตัดสินยกใหญ่ ทำให้เชิ๊ตดำไม่รอช้าควักใบแดงไล่ เปาลิสต้า ออกจากสนามทันที เล่นเอาแฟนปืนใหญ่ในสแตมฟอร์ด บริดจ์ งงกันไปตามๆกัน ก่อนจบ 45 นาทีแรกไปด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์ 0-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลัง อาร์แซน เวงเกอร์ ไม่รอช้าแก้เกมก่อนทันที โดยถอดเอา ฟรองซิส โกเกอแล็ง ออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง คาลัม แชมเบอร์ส ลงเล่นแทน โดยจะมายืนคู่กับ โลร็องต์ กอสเซียลนี ในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางแทนการขาดหายไปของ กาเบรียล เปาลิสต้า

แต่แล้วนาทีที่ 53 กลายเป็นเจ้าถิ่นที่มาได้ประตูออกนำไปก่อน จากจังหวะที่ เชสก์ ฟาเบรกาส เปิดฟรีคิกจากกลางสนามเข้าไปในลุ้นในกรอบเขตโทษให้ เคิร์ท ซูมา สอดขึ้นไปโหม่งกดลงพื้นคนเดียวโล่งๆ ส่งบอลหนีมือ ปีเตอร์ เช็ค เสียบเสาแรกเข้าไปตุงตาข่าย ช่วยให้เชลซีขึ้นนำ 1-0 พร้อมกับเป็นประตูแรกในพรีเมียร์ลีกของเจ้าตัวด้วย

จากนั้นนาทีที่ 59 อาร์เซนอล มีโอกาสลุ้นประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ อารอน แรมซีย์ โยนยาวจากกลางสนามเข้าไปในกรอบเขตโทษ และเป็น แกรี่ เคฮิลล์ ปล่อยบอลตกไปเข้าทาง อเล็กซิส ซานเซซ แปด้วยขวาไม่เต็มเท้า บอลหลุดเสาแรกออกไปอย่างน่าเสียดาย

แต่เเล้วนาทีที่ 79 สถานการณ์ของ อาร์เซนอล ต้องเลวร้ายหนักไปกว่าเก่า เมื่อมาเหลือผู้เล่นเพียง 9 คน จากจังหวะที่ ซานติ กาซอร์ลา ไปสไลค์เปิดปุ่มใส่ เชสก์ ฟาเบรกาส ทำให้ผู้ตัดสินไม่มีทางเลือกควักใบเหลืองให้กับ กาซอร์ลา และเป็นใบเหลืองที่สองกลายเป็นใบแดงถูกไล่ออกจากสนามทันที

กระทั่งนาทีแรกของช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แชมป์เก่ามาได้ประตูตอกฝาโลง จากจังหวะชุลมุนในกรอบเขตโทษ ก่อนบอลมาเข้าทาง เอเด็น อาซาร์ วางเท้ากดด้วยขวาแฉลบตัว คาลัม แชมเบอร์ส เปลี่ยนตัวเข้าประตูไป

จบเกม เชลซี เปิดบ้านเฉือนชนะ อาร์เซนอล ที่เหลือผู้เล่น 9 คนไป 2-0 เก็บชัยชนะเกมเหย้านัดแรกของฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับขยับขึ้นมารั้งอันดับ 10 ของตาราง มี 7 คะแนนจาก 6 นัด ส่วน อาร์เซนอล อยู่ที่ 4 ต่อไปตามเดิม มี 10 คะแนน

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เชลซี - แอสเมียร์ เบโกวิช, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, เคิร์ท ซูมา, แกรี เคฮิลล์, เซซาร์ อัสปิลิกูเอตา, เชส ฟาเบรกาส, ออสการ์, เอเดน ฮาซาร์ด, เปโดร โรดริเกวซ, เนมานยา มาติช, ดิเอโก กอสตา
อาร์เซนอล - ปีเตอร์ เช็ก, กาเบรียล เปาลิสตา, โลรองต์ กอสเซียลนี, นาโช มอนเรอัล, เฮ็คเตอร์ เบลเลริน, เมซุต โอซิล, อารอน แรมซีย์, อเล็กซิส ซานเชซ, ซานติ กาซอร์ลา,

อาร์เซนอล 2 - 0 สโต๊ค ซิตี้

อาร์เซนอล  2 - 0 สโต๊ค ซิตี้
อาร์เซนอล 2 - 0 สโต๊ค ซิตี้
พรีเมียร์ลีก
12 กันยายน 2015 • 21:00 • Emirates Stadium, London
ผู้ตัดสิน: J. Moss • ผู้ชม: 59963

31' Theo Walcott 1-0 // 85' Olivier Giroud 2-0

อาร์เซนอล 2 - 0 สโต๊ค ซิตี้
อาร์เซนอลเก็บสามแต้มแรกในบ้านได้เสียที หลังบดเอาชนะ สโต๊ค ซิตี้ ไป 2-0 จากการทำคนละประตูของสองกองหน้าประจำทีมอย่าง ธีโอ วัลคอตต์ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำสัปดาห์ที่ 5 ที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดียม ระหว่าง อาร์เซนอล ก่อนเกมรั้งอันดับ 6 ของตาราง เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ สโต๊ค ซิตี้ ก่อนเกมรั้งอันดับ 18 ของตาราง

อาร์แซน เวงเกอร์ เทรนเนอร์ 'ไอ้ปืนใหญ่' อาร์เซนอล หมดสิทธิ์ใช้งาน แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ เซ็นเตอร์ฮาร์ฟกัปตันทีมที่มีอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้ กาเบรียล เปาลิสต้า ยังได้ออกสตารท์เป็นตัวจริงคู่กับ โลร็องต์ กอสเซียลนี พร้อมกับมีข่าวดีเมื่อได้ เมซุต โอซิล ฟิตกลับมาเป็นจอมทัพอีกครั้ง โดยหน้าเป้าเลือกใช้ ธีโอ วัลคอตต์ ไล่ล่าตาข่ายอีกเช่นเคย

ขณะที่ 'ช่างปั้นหม้อ' สโต๊ค ซิตี้ ของกุนซือ มาร์ค ฮิวจ์ส หมดสิทธิ์ใช้งานสองแนวรุกตัวสำคัญอย่าง ชาร์ลี อดัม และ อับราฮิม อเฟลลาย ที่ติดโทษแบนจากการโดนใบแดงในเกมเปิดบ้านพ่าย เวสบรอมฯ 0-1 เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ทำให้ มารโก อาร์เนาโตวิช กับ โฆเซลู ได้โอกาสลงมาเล่นแทน พร้อมถอย มาเม่ บิรัม ดิยุฟ ลงมาเล่นในตำแหน่งหน้าต่ำ และให้ โฆเซลู ขึ้นไปยืนเป็นหน้าเป้า

เปิดฉากมาได้เพียง 2 นาที เจ้าบ้านหาโอกาสทักทายก่อนทันที จากจังหวะที่ ซานติ กาซอร์ลา พลิกหนีตัวประกบบริเวณกราบขวา ก่อนตักหยอดด้วยซ้ายเข้าไปในเขตโทษให้ อเล็กซิส ซานเซซ โถมโหม่งสะบัดยัดเสาแรก แต่ว่า แจ็ค บัตแลนด์ โชว์เซฟด้วยการพุ่งปัดปลายมือไปชนเสา บอลไม่พ้นอันตรายกระดอนออกมาเข้าทาง ธีโอ วัลคอตต์ ซ้ำจ่อๆออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 5 อาร์เซนอลได้โอกาสลุ้นประตูอีกครั้ง จากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 30 หลาเยื้องมาทางฝั่งซ้าย และเป็น อเล็กซิส ซานเซซ รับหน้าที่ปั่นด้วยขวาเต็มข้อ ทิศทางบอลกำลังจะพุ่งเสียบเสาแรกอยู่แล้ว แต่ แจ็ค บัตแลนด์ ยังปฏิกิยาไวพุ่งปัดออกหลังไปได้อย่างหวุดหวิด

ถัดมาเพียง 2 นาที่ เจ้าถิ่นน่าได้ประตูออกนไปก่อนำเสียจริงๆ จากลูกที่ ฟรองซิส โกเกอแล็ง ไหลขึ้นหน้าไปทางฝั่งซ้ายหน้าเขตโทษให้ อเล็กซิส ซานเซซ จังแต่งเข้าขวาข้างถนัด ก่อนบรรจงแปเลียดด้วยขวาเน้นๆ ผ่านมือ แจ็ค บัตแลนด์ ไปแล้ว แต่น่าเสียดายบอลเจ้ากรรมดันพุ่งไปชนเสาไกลอย่างจัง

กระทั่งนาทีที่ 31 เจ้าถิ่นมาทำประตูออกนำไปก่อนจนได้ จากจังหวะที่ เมซุต โอซิล บรรจงวางบอลยาวจากแดนตัวเองไปให้ ธีโอ วัลคอตต์ ดูดบอลแต่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนแปด้วยขวา ส่งบอลไหลลอดขา แจ็ค บัตแลนด์ เข้าไปนอนจมก้นตาข่าย ช่วยให้อาร์เซนอลขึ้นนำ 1-0

ถัดมา 2 นาที ทีมเยือนเริ่มมีโอกาสเปิดฉากทักทายบ้าง จากจังหวะที่ มารโก อาร์เนาโตวิช กระดกบอลจากกราบซ้ายเข้ากลางให้ โฆเซลู วางเท้าฮาร์ฟวอลเลย์ด้วยขวาเน้นๆจากระยะประมาณ 30 หลา บอลพุ่งตรงตัว ปีเตอร์ เช็ก รับซองแตก แต่ยังดีที่ มาเม่ บิรัม ดิยุฟ ซ้ำดาบสองไม่ได้ลุ้นอะไร

จากนั้นรูปเกมยังเป็นเจ้าบ้านที่ขึงเกมบุกอยู่ข้างเดียว แต่ไม่สามารถพาบอลผ่านมือ แจ็ค บัตแลนด์ เป็นครั้งที่สองได้ ทำให้จบ 45 นาทีแรก อาร์เซนอล รักษาสกอร์นำอยู่ที่ 1-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลังยังเป็น อาร์เซนอล ที่ขึงเกมบุกไว้ได้อีกเช่นเคย แต่จังหวะสุดท้ายไม่เฉียบคมพอ ทำให้เพียงแค่ยิงเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา กระทั่งนาทีที่ 68 พวกเขาได้ประตูที่สอง จากจังหวะที่ เมซุต โอซิล ทำชิ่งกับ ซานติ กาซอร์ลา จนหลุดเดี่ยวเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนพยายามยิงยัดเสาแรก แต่ว่า แจ็ค บัตแลนด์ ยืนปิดมุมดีใช้ขาเซฟออกไปได้อย่างยอดเยี่ยม

นาทีที่ 76 อาร์เซนอลพลาดโอกาสทองในการได้ประตูหนีห่างอย่างเหลือเชื่อ เมื่อแนวรับ สโต๊ค ซิตี้ เคลียร์สกัดบอลไม่ดี ทำให้ส้มหล่นไปเข้าทาง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ตัวสำรองในกรอบเขตโทษโล่งๆ ทว่ากองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสกลับตวัดเลียดหลุดเสาไกลออกไปอย่างน่าตาเฉย

อย่างไรก็ตาม ท้ายเกมนาทีที่ 85 โอลิวิเยร์ ชิรูด์ มาแก้ตัวจนได้ จากจังหวะที่ ซานติ กาซอร์ลา เปิดฟรีคิกจากริมเส้นฝั่งซ้ายเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ ชิรูด์ ยืนตั้งหัวโหม่งเน้นๆเต็มศรีษะ ส่งบอลพุ่งเบียดเสาแรกเข้าไปไม่เหลือ

จบเกม อาร์เซนอล เปิดบ้านเอาชนะ สโต๊ค ซิตี้ ไปได้แบบไม่ยากเย็น 2-0 คว้าชัยชนะในบ้านนัดแรกของฤดูกาลนี้ พร้อมกับเก็บเพิ่มเป็น 10 คะแนนจาก 5 นัด โดยมีคะแนนตามหลังจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 5 คะแนน

นิวคาสเซิล 0 - 1 อาร์เซนอล

นิวคาสเซิล 0 - 1 อาร์เซนอล

นิวคาสเซิล 0 - 1 อาร์เซนอล
29 สิงหาคม 2015 • 18:45 • St. James' Park, Newcastle-upon-Tyne
ผู้ตัดสิน: A. Marriner • ผู้ชม: 50388



52' 0-1 (o.g.) Fabricio Coloccini


การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สัปดาห์ที่ 4 ที่สนามเซนต์ เจมส์ พาร์ค ระหว่าง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ก่อนเกมรั้งอันดับ 17 ของตาราง เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ อาร์เซนอล ก่อนเกมรั้งอันดับ 9 ของตาราง โดยสถิติที่ผ่านมาพบว่า 'ไอ้ปืนใหญ่' ไม่เคยบุกมาพ่าย 'สาลิกาดง' นับตั้งแต่ ธ.ค. ปี 2005 ที่ครั้งนั้นแพ้ไป 1-0 จากประตูโทนของ โนลเบอร์โต้ โซลาโน

สตีฟ แม็คคลาเรน เทรนเนอร์เจ้าถิ่น มีข่าวดีเมื่อได้ 2 แกนหลักอย่าง มุสซา ซิสโซโก้ หายจากอาการบาดเจ็บ และ ดารีล ยานมาตต์ พ้นโทษแบนกลับมาออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงอีกครั้ง โดยยังคงใช้ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ยืนเป็นหน้าเป้าไล่ล่าตาข่ายเช่นเคย และมี จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม กับ ฟลอริย็อง โตแว็ง คอยเติมสนับสนุนอยู่ด้านหลัง

ขณะที่ฝั่งผู้มาเยือนของกุนซือ อาร์แซน เวงเกอร์ มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย โดยได้ โลร็องต์ กอสเซียลนี หายเจ็บหลังกลับมาคุมแนวรับอีกครั้ง แต่หมดสิทธิ์ใช้งาน เมซุต โอซิล เพลย์เมคเกอร์ทีมชาติเยอรมันที่มีอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่า ทำให้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ได้โอกาสลงมาทำหน้าที่แทน พร้อมกับดร็อป โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ไว้ที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง ธีโอ วัลคอตต์ ยืนเป็นหน้าเป้า

เกมผ่านมาถึงนาทีที่ 16 เจ้าถิ่นต้องมาเหลือผู้เล่นเพียง 10 คนอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช พักอกและกำลังตามไปเล่นบอล แต่กลายเป็นไปย่ำใส่ข้อเท้าของ ฟรองซิส โกเกอแล็ง ทำให้ อังเดร มาริเนอร์ ผู้ตัดสินในเกมนี้ควักใบแดงให้ มิโตรวิช ทันที ท่ามกลางความไม่พอใจของผู้เล่น นิวคาสเซิล และแฟนบอลทั้งสนาม

หลังจากได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่น ทำให้ อาร์เซนอล ครองบอลบุกได้มากกว่าโดยปริยาย และมีเปอร์เซ็นครองบอลสูงถึง 75-25% แต่ต้องรอจนถึงนาทีที่ 31 พวกเขาถึงมาได้โอกาสลุ้นประตูแบบจะๆครั้งแรก จากจังหวะที่ อเล็กซิส ซานเซซ ลองส่องไกลด้วยขวาเต็มข้อ ทว่าถูก ทิม ครูล ผู้รักษาประตูทีมเยือนพุ่งปัดสุดปลายมือ แต่ไม่พ้นอันตรายเข้าทาง ธีโอ วัลคอตต์ ตามซ้ำจ่อๆออกหลังไปอย่างเหลือเชื่อ

เวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ ทำให้จบ 45 นาทีแรกยังเสมอกันแบบไร้สกอร์ 0-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลังได้ไม่นาน เพียงนาทีที่ 52 ทีมเยือนที่เหลือผู้เล่นมากกว่ามาทำประตูออกนำไปก่อนจนได้ จากลูกที่ ซานติ กาซอร์ลา ยิงจังหวะแรกไปติดบล็อคแนวรับเจ้าถิ่น บอลกระดอนออกมาเข้าทาง อารอน แรมซีย์ ซ้ำเต็มข้อจากแถวสองก็ยังไม่ผ่านมือของ ทิม ครูล ที่พุ่งปัดออกมาเข้าทาง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ซ้ำดาบสามในกรอบเขตโทษ บอลแฉลบขา ฟาบริซิโอ โคลอชชินี เปลี่ยนทางเสียบเสาไกลเข้าไป ช่วยให้อาร์เซนอลขึ้นนำ 1-0

ถัดมาในนาทีที่ 66 ทีมเยือนมีโอกาสลุ้นประตูที่สอง จากจังหวะที่ อารอน แรมซีย์ ไหลในกรอบเขตโทษฝั่งขวาย้อนกลับมาให้ ซานติ กาซอร์ลา วิ่งเข้ามาใส่ด้วยซ้ายแบบไม่ต้องจับ บอลติดไซร้ก้อยแต่ยังพุ่งไปตรงตัวของ ทิม ครูล รับเข้าซองเอาไว้ได้แบบสบายมือ จากนั้นเวลาที่เหลือทำอะไรเพิ่มไม่ได้ แม้ทีมเยือนจะเป็นฝ่ายพับสนามบุกตลอดทั้งเกมก็ตาม

จบเกม อาร์เซนอล บุกเฉือนชนะ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่เหลือ 10 คนตั้งแต่ต้นเกมไปแบบหืดจับ 1-0 เก็บสามคะแนนสำคัญ ขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 5 ของตาราง โดยมี 7 คะแนนเท่ากับ เลสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมกับตามหลังจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 2 คะแนน แต่แข่งมากกว่า 1 นัด
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...

ป้ายกำกับ

ข่าวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (360) ข่าวสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (98) พรีเมียร์ลีก 2011/2012 (87) แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (66) พรีเมียร์ลีก 2010/2011 (58) พรีเมียร์ลีก 2015/2016 (48) ลิเวอร์พูล (33) อาร์เซนอล (30) พรีเมียร์ลีก 2012/2013 (29) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (29) เชลซี (27) ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส (26) สโต๊ค ซิตี้ (26) นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (24) แอสตัน วิลล่า (23) เอฟเวอร์ตัน (21) เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (20) ฟูแล่ม (18) นอริช ซิตี้ (17) ฟุตบอลอุ่นเครื่อง/กระชับมิตร (17) สวอนซี ซิตี้ (17) ซันเดอร์แลนด์ (16) พรีเมียร์ลีก 2014/2015 (16) วีแกน (16) แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส (14) โบลตัน (14) UEFA (13) วูล์ฟแฮมป์ตัน (13) ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส (12) เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (11) เซาธ์แฮมป์ตัน (9) เลสเตอร์ ซิตี้ (7) วัตฟอร์ด (6) เบอร์มิงแฮม ซิตี้ (6) แบล็คพูล (6) คริสตัล พาเลส (5) พรีเมียร์ลีก 2016/2017 (5) เอเอฟซี บอร์นมัธ (5) พรีเมียร์ลีก 2013/2014 (4) เรดดิง (4) บาร์เซโลนา (3) ชาลเก้ 04 (2) วาเลเรนกา (2) LEAGUE CUP (1) กลาสโกว์ เรนเจอร์ (1) กว่างตง (1) กาลาตาซาราย (1) คลิปในตำนานแมนยูฯ (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2010/2011 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2011/2012 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2012/2013 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2013/2014 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2015/2016 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2016/2017 (1) นิวยอร์ค คอสมอส (1) บาเลนเซีย (1) พีเอสวี (1) ฟุตบอลเอฟเอ คัพ (1) ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก (1) รีล มาดริด (1) อิปสวิช ทาวน์ (1) เบิร์นลี่ย์ (1) เอฟเอ คัพ (1) แอธเลติก บิลเบา (1) โคโลญจน์ (1) โวล์ฟบวร์ก (1) ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน (1)
ขับเคลื่อนโดย Blogger.