เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2 - 3 เอฟเวอร์ตัน

เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2 - 3 เอฟเวอร์ตัน
เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2 - 3 เอฟเวอร์ตัน
พรีเมียร์ลีก
29 กันยายน 2015 • 2:00 • The Hawthorns, West Bromwich
ผู้ตัดสิน: R. Madley • ผู้ชม: 24240

41' SAIDO BERAHINO 1-0 // 54' CRAIG DAWSON 2-0 // 55' ROMELU LUKAKU 2-1 // 75' AROUNA KONE 2-2 // 84' ROMELU LUKAKU 2-3

หัวหอกทีมชาติเบลเยียมสวมบทฮีโร่เหมาคนเดียวสองประตู ช่วยให้เอฟเวอร์ตันพลิกสถานการณ์จากตามหลัง 2-0 กลับมาแซงชนะเวสต์บรอมฯสุดมัน พร้อมขยับขึ้นท็อปไฟท์เรียบร้อย

การแข่งขันฟุตบอลพรเมียร์ลีก อังกฤษ นัดมันเดย์ไนท์ ที่สนามเดอะ ฮอว์ธอร์น ระหว่าง เวสต์บรอมวิซ อัลเบียน ก่อนเกมรั้งอันดับ 14 ของตาราง มี 8 คะแนน เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เอฟเวอร์ตัน ก่อนเกมรั้งอันดับ 9 ของตาราง มี 9 คะแนน

โทนี พูลิส เทรนเนอร์ 'เดอะ แบล็กกีส์' เปลี่ยนมาใช้แผนการเล่นระบบ 4-3-3 วาง เจมส์ แม็คคลีน, ไซโด้ เบราฮิโน และ ซาโลมอน รอนดอน เป็นสามประสานในแนวรุก ส่วน 4 แนวรับยังเป็นหน้าเดิม ประกอบด้วย เคร็ก ดอว์สัน, โยนาส โอลส์สัน, คริส บรันท์ และ จอนนี่ อีแวนส์

ขณะที่ฝั่ง 'ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน' ของกุนซือ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ เปลี่ยนแปลงผู้เล่นเพียง 2 รายจากเกมลีกนัดล่าสุด ที่บุกเสมอ สวอนซี ซิตี้ แบบไร้สกอร์ 0-0 โดยหมดสิทธิ์ใช้งาน จอห์น สโตน ที่มีปัญหาเรื่องความฟิต รวมถึงดร็อป อารูนา โกเน ไว้ที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง รามิโอ โมรี กับ เคราร์ด เดวโลเฟว ลงมาเล่นแทน

เปิดฉากมาแค่ 5 นาที เจ้าถิ่นเได้โอกาสทักทายก่อนอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ เจมส์ แม็คคาร์ธีย์ กองกลาง เอฟเวอร์ตัน สกัดบอลมาเข้าทาง เจมส์ มอร์ริสัน ตั้งป้อมกดด้วยขวาเต็มข้อจากระยะประมาณ 25 หลา แต่บอลพุ่งไปตรงตัวของ ทิม ฮาเวิร์ด ยืนรับเอาไว้ได้แบบสบายมือ

นาทีที่ 28 เวสต์บรอมฯ ต้องมาเสียโควต้าเปลี่ยนตัวไปโดยปริยาย เนื่องจาก โยนาส โอลส์สัน แนวรับจอมเก๋าวัย 32 ปี มีอาการบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ทำให้ โทนี พูลิส ตัดสินใจส่ง เจมส์ เชสเตอร์ อดีตเด็กปั้นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงมาเล่นแทน

แต่แล้วนาทีที่ 40 เจ้าถิ่นมาทำประตูออกนำไปก่อนจนได้ จากจังหวะที่ รามิโอ โมรี แนวรับ เอฟเวอร์ตัน พาบอลขึ้นมาทางฝั่งซ้ายในแดนตัวเอง แต่โดน เคร็ก ดอว์สัน ล้มตัวสกัดไปเข้าทาง แกเร็ธ แบร์รี จ่ายบอลขึ้นหน้าไปเข้าทาง เจมส์ มอร์ริสัน บรรจงแทงทะลุช่องเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ ไซโด้ เบราฮิโน สอดเข้ามาตวัดตามน้ำด้วยขวาสวนตัว ทิม ฮาเวิร์ด เข้าไปตุงตาข่าย ช่วยให้เวสต์บรอมฯขึ้นนำ 1-0

3 นาทีต่อมา เอฟเวอร์ตัน มีโอกาสลุ้นประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ เคราร์ด เดวโลเฟว พลิกหนีตัวประกบ ก่อนจ่ายย้อนกลับมาให้ เจมส์ แม็คคาร์ธีย์ ตั้งป้อมกดเลียดด้วยซ้ายจากระยะประมาณ 22 หลา ทิศทางบอลกำลังจะพุ่งเสียบเสาแรกอยู่แล้ว แต่ว่า โบอาซ มายฮิลล์ ยังปฏิกิริยาไวล้มตัวปัดออกหลังไปได้อย่างหวุดหวิด จบ 45 นาทีแรก เวสต์บรอมฯ ยังรักษาสกอร์นำอยู่ 1-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลังได้ไม่นาน เพียงนาทีที่ 54 เวสต์บรอมฯ มาทำประตูหนีห่างเป็น 2-0 จากจังหวะที่ คริส บรันท์ เปิดลูกเตะมุมทางฝั่งขวาเข้ามาในกรอบเขตโทษเสาไกลให้ เคร็ก ดอว์สัน ฉีกหนี ฟิล จากีลก้า ขึ้นโขกกดลงพื้นเน้นๆเบียดเสาเข้าประตูไป

อย่างไรก็ตาม ไม่ถึงนาทีหลังจากนั้น ทีมเยือนมาทำประตูตีไข่แตกได้แบบทันควัน จากลูกที่ เคราร์ด เดวโลเฟว ตั้งป้อมเปิดโค้งจากริมเส้นฝั่งขวาเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ โรเมลู ลูกากู ขึ้นโหม่งเน้นๆเต็มศรีษะ บอลพุ่งหนีมือ โบอาซ มายฮิลล์ เสียบเสาไกลเข้าไปอย่างสุดสวย ช่วยให้เอฟเวอร์ตันไล่มาเป็น 1-2

นาทีที่ 75 สาวก 'ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน' ได้เฮกันลั่นสนาม เมื่อทีมรักมาทำประตูตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่่ โรเมลู ลูกากู โชว์สเต็ปแหวกฝ่าแนวรับเจ้าถิ่นจากขวาเข้ากลาง ก่อนแทงทะลุช่องให้ อารูนา โกเน ตัวสำรองหลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนเลือกแปด้วยขวาสวนตัว โบอาซ มายฮิลล์ เข้าไปอย่างเยือกเย็น

ยิ่งไปกว่านั้น ท้ายเกมนาทีที่ 84 เอฟเวอร์ตัน มาได้ประตูพลิกขึ้นนำ พร้อมกับกลายเป็นประตูชัย จากจังหวะที่ เคราร์ด เดวโลเฟว เจ้าเก่าตั้งป้อมโยนจากฝั่งขวาเข้ามาในกรอบเขตโทษให้ โรเมลู ลูกากู เบียดเอาชนะ แนวรับเจ้าบ้านแตะบอลขึ้นหน้าหนึ่งจังหวะ ก่อนตามกดด้วยขวาจ่อๆไม่ถึง 3 หลาเข้าไปไม่เหลือ

จบเกม เอฟเวอร์ตัน กลับมาพลิกแซงชนะ เวสต์บรอมวิซ อัลเบียน ไปแบบสุดมัน 3-2 รักษาสถิติยังไม่แพ้เกมเยือนในฤดูกาลนี้ พร้อมขยับขึ้นไปรั้งอันดับ 5 ของตาราง มี 12 คะแนนเท่ากับ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส, คริสตัล พาเลซ และ เลเสเตอร์ ซิตี้ แต่มีประตูได้เสียดีกว่านั่นเอง

วัตฟอร์ด 0 - 1 คริสตัล พาเลซ

วัตฟอร์ด 0 - 1 คริสตัล พาเลซ

วัตฟอร์ด 0 - 1 คริสตัล พาเลซ

พรีเมียร์ลีก
27 กันยายน 2015 • 22:00 • Vicarage Road Stadium, Watford
ผู้ตัดสิน: A. Taylor • ผู้ชม: 20168


71' YOHAN CABAYE (PEN.) 0-1

ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส 4 - 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส 4 - 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส 4 - 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 18:45 • White Hart Lane, London
ผู้ตัดสิน: ม. แคล็ทเทนเบิร์ก • ผู้ชม: 35867

0-1 เควิน เดอ บรุยน์ น.25, 1-1 เอริค ดายเออร์ น.45, 2-1 โทบี อัลเดอร์เวเรลด์ น.50, 3-1 แฮร์รี เคน น.61, 4-1 เอริค ลาเมลา น.79

แมนเชสเตอร์ ซิตี ของ มานูเอล เปเยกรินี อยู่ในอาการโคม่ายังไม่ฟื้นเมื่อเจอความปราชัยใน พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ 2 นัดติดต่อกัน จากการบุกไปโดน ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ยิงจมลงไปนอนก้นอ่าวทะเล 1-4

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 4-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี


ศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ นัดแรกของสัปดาห์นี้ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ อันดับ 9 ของตาราง มี 9 แต้ม เล่นในบ้านที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน เจอศึกหนักต้อนรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี จ่าฝูงมี 15 แต้ม เกมนี้เจ้าบ้านส่ง แฮร์รี เคน เป็นหัวหอกพังประตู ส่วนทีมเยือนได้ เซร์คิโอ อกูเอโร ออกสตาร์ทลุ้นยิง

เริ่มเกมมา 9 นาที ซิตี ครองบอลดีกว่าและทักทายก่อนเลยจากลูกยิงไกลของ เควิน เดอ บรุยน์ แต่บอลหลุดเสาสองนิดเดียว ต่อมา นาที 18 ทีมเยือนยังได้โอกาสต่อ แฟร์นานดินโญ ผ่านบอลมาให้ เซร์คิโอ อกูเอโร จับเข้าเท้าแล้วยิงแต่ อูโก ยอริส ยังเหนียวพุ่งปัดปลายมือ

ทีมเยือนคุมเกมแบบเบ็ดเสร็จจน นาที 25 ประตูแรกที่รอคอยก็มา ยายา ตูเร พาบอลสวนกลับแล้วแทงออกขวาให้ เควิน เดอ บรุยน์ หลุดไปซัดเสียบเสาไกลนำ 1-0 ขณะที่ สเปอร์ส ได้โอกาสทอง นาที 32 นิโคลัส โอตาเมนดี สกัดวืดโดน แฮร์รี เคน แย่งบอลไปยิงแต่ไม่แม่นออกข้างอีก

มาถึง นาที 41 สเปอร์ส จะตีเสมอให้ได้ แฮร์รี เคน ขอแก้ตัวล็อกเข้าซ้ายแล้วซัดทันทีแต่ วิลเฟรโด กาบาเยโร ปัดได้แบบหวุดหวิด แต่ก่อนหมดเวลา นาที 44 เควิน เดอ บรุยน์ สกัดไม่ขาดบอลเข้าทางปืน เอริค ดายเออร์ ง้างยิงไกลบอลชิ่งเสาตีเสมอ 1-1 และจบครึ่งแรกด้วยผลดังกล่าว

กลับมาเล่นในครึ่งหลังเพียง 5 นาที กลายเป็นเจ้าถิ่นที่มาได้ประตูพลิกขึ้นนำเป็น 2-1 จากจังหวะที่ เอริค ลาเมลา เปิดฟรีคิกจากริมเส้นฝั่งขวาเข้ามาในเขตโทษให้ โทบี อัลเดอร์ไวเรลด์ ขึ้นโขกย้อยๆ ส่งบอลสวนทาง วิลลี กาบาเยโร เข้าไปนอนจมก้นตาข่าย

เท่านั้นไม่พอนาทีที่ 61 เจ้าบ้านมาบวกประตูเพิ่มได้อีก จากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลาเยื้องไปทางฝั่งขวา และเป็น คริสเตียน อีริคเซน รับหน้าที่ปั่นด้วยขวาไปชนสามเหลี่ยมอย่างจัง แต่ว่าบอลยังเป็นใจกระดอนมาเข้าทาง แฮร์รี เคน ตามซ้ำง่ายๆเข้าไปไม่เหลือ ช่วยให้สเปอร์สหนีห่างเป็น 3-1 พร้อมกับเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น 10 นาทีถัดมา สเปอร์ส มาได้ประตูตอกฝาโลง จากจังหวะที่ คลินตัน เอ็นจีเย ตัวสำรอง กระชากขึ้นมาทางริมเส้นฝั่งขวา ก่อนปาดเลียดเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ เอริค ลาเมลา ใช้ความสามารถเฉพาะตัว ดึงหลอก วิลลี กาบาเยโร กับ มาร์ติน เดมิเคลิส จนหัวคะมำกันทั่งคู่ ก่อนแปด้วยซ้ายเข้าไปอย่างเยือกเย็น

จบเกม ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส แซงถล่ม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปอย่างขาดลอย 4-1 เก็บสามแต้มสำคัญ ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 5 ของตารางชั่วคราว มี 12 คะแนนเท่ากับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ เลสเตอร์ ซิตี้ ด้าน แมนฯ ซิตี้ ยังนำเป็นจ่าฝูงต่อไป โดยนำ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ 1 คะแนนเท่าเดิม แต่แข่งมากกว่า 1 นัด

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ - อูโก ยอริส, ไคล์ วอล์คเกอร์, โทบี อัลเดอร์เวเรลด์, แยน แฟร์ทองเกน, เบน เดวีส์, ซอง เฮือง-มิน, เอริค ลาเมลา, เอริค ดายเออร์, เดเล อัลลี, คริสเตียน เอริคเซน, แฮร์รี เคน
แมนเชสเตอร์ ซิตี - วิลเฟรโด กาบาเยโร, บาการี ซานญา, อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ, มาร์ติน เดมิเคลสิน, นิโคลัส โอตาเมนดี, เฟอร์นานโด, ราฮีม สเตอร์ลิง, เควิน เดอ บรุยน์, แฟร์นานดินโญ, เซร์คิโอ อกูเอโร

นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2 - 2 เชลซี

นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2 - 2 เชลซี
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2 - 2 เชลซี
พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 23:30 • St. James' Park, Newcastle-upon-Tyne
ผู้ตัดสิน: ม. แอ็ตกินสัน • ผู้ชม: 48682

42' AYOZE 1-0 // 60' GEORGINIO WIJNALDUM 2-0 // 79' RAMIRES 2-1 // 87' WILLIAN 2-2


รามิเรส และ วิลเลียน สองแนวรุกของ เชลซี กลายเป็นฮีโร่พา “สิงห์บลูส์” รอดพ้นจากความตายหลังช่วยกันยิงพาทีมแบ่งแต้มกลับบ้านจาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2-2 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ คืนวันที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมา

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2-2 เชลซี


ศึกฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ คู่ดึกสุดคืนวันเสาร์ เกมที่ เซนต์ เจมส์ ปาร์ก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด อันดับ 19 โซนตกชั้นมี 2 แต้ม เล่นในบ้านเจอกับ เชลซี อันดับ 16 มี 7 แต้ม เกมนี้เจ้าบ้านเลือกใช้ อาโยเซ เปเรซ ผนึกกำลังคู่อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ส่วนทีมเยือน ดิเอโก กอสตา โดนแบนทำให้ โลอิค เรมี ได้มายิงแทน

ครึ่งแรกผ่านมา 4 นาที ทีมของ โชเซ มูรินโญ ทักทายก่อนเลยแบบไม่ต้องรอให้เจ้าบ้านเชื้อเชิญ จากฟรีคิกของ เคิร์ท ซูมา แต่ยิงไม่ดีบอลหลุดออกหลัง ผ่านมา นาที 12 โลอิค เรมี จับบอลต่อจาก บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ได้ยิงแต่ก็ยังไม่เข้ากรอบเหมือนเดิม

เกมเริ่มสนุกเมื่อ นิวคาสเซิล ตอบโต้ นาที 17 อาโยเซ เปเรซ ให้บอลต่อ มุสซา ซิสโซโก ส่องนอกเขตโทษทว่าไม่เข้าเป้า จากนั้น นาที 28 สาลิกา เกือบขึ้นนำสองรอบ อาโยเซ เปเรซ หลุดไปยิงติดเซฟจังหวะแรก นักเตะเจ้าถิ่นเก็บได้ให้ ดาริล แยนมัต ยิงต่อทว่า แอสเมียร์ เบโกวิช ยังรับได้

นาที 37 สิงห์บลูส์ เกือบทำได้ เชส ฟาเบรกาส ลากมาจากกลางสนามแล้วยิงไซด์ก้อยแต่ ทิม ครูล กระโดดปัดมือเดียว ทว่าเกิดเหตุไม่คาดฝัน นาที 41 นิวคาสเซิล ขึ้นนำ 1-0 จังหวะ เวอร์นอน อานิตา สาดยาวเข้ากลาง อาโยเซ เปเรซ จับไม่ดีแต่ตวัดยิงตามน้ำได้ และจบครึ่งแรกไปเลย

กลับมาเล่นในครึ่งหลังได้เพียง 9 นาที (นาทีที่ 54) นิวคาสเซิล ต้องมาเสียโควต้าเปลี่ยนตัวไปโดยปริยาย เนื่องจาก แจ็ค โคลแบ็ค กองกลางตัวรับชาวผู้ดีมีอาการบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ทำให้ สตีฟ แม็คคลาเรน ตัดสินใจส่ง กาเบรียล โอแบร์กต็อง ลงมาเล่นแทน

นาทีที่ 60 นิวคาสเซิล มาทำประตูหนีห่างเป็น 2-0 จากจังหวะที่ อโยเซ เปเรซ เปิดลูกเตะมุมทางฝั่งขวาเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม สลัดหนีตัวประกบโหม่งเช็ดหนีมือ อัสมีร์ เบโกวิช เสียบเสาไกลเข้าไปตุงตาข่าย

หลังจากถูกนำไปก่อนถึง 2 ประตู ทำให้ โชเซ มูรินโญ แก้เกมทันที โดยถอดเอา เนมานยา มาติช และ โลอิก เรมี ออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง วิลเลียน กับ ราดาเมล ฟัลเกา ลงมาเล่นแทน

กระทั่งนาทีที่ 79 แชมป์เก่ามาทำประตูตีไข่แตกจนได้ จากจังหวะที่ เอเด็น อาซาร์ โชว์สเต็ปพริ้วลากตัดจากฝั่งซ้ายเข้ากลาง ก่อนไหลถวายพานออกไปทางฝั่งขวาให้ รามิเรส จับหนึ่งจังหวะ ก่อนหวดเต็มข้อล่อเต็มแข่งบอลพุ่งแรงเสียบสามเหลี่ยมเสาไกลเข้าไปอย่างสุดสวย ช่วยให้เชลซีไล่มาเป็น 1-2

ท้ายเกมนาทีที่ 88 แฟนทูนอาร์มีนั่งหน้าบูดกันเป็นแถบ หลังจากเชลซีตามตีเสมอได้สำเร็จ จากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 25 หลาเยื้องมาทางฝั่งซ้าย และเป็น วิลเลียน รับหน้าที่ปั่นด้วยขวาเข้าไปลุ้นในเขตโทษ และเป็น รามิเรส โฉบมาโหม่งแต่ไม่โดน ทำให้บอลสวนตัว ทิม ครูล เข้าไปตุงตาข่าย

จบเกม เชลซี บุกไล่ตีเสมอ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไปแบบหืดจับ 2-2 แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน ทำให้ เชลซี ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 15 ของตาราง มี 8 คะแนน ส่วน นิวคาสเซิล จมอยู่ในอันดับ 19 ของตารางต่อไป มีเพียง 3 คะแนนเท่านั้น

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด - ทิม ครูล, ฟาบริซิโอ โคลอชชินี, ชานเซล เอ็มเบ็มบา, ดาริล แยนมัต, เควิน เอ็มบาบู, แจ็ค โคลแบ็ก, จอร์จินิโอ ไวจ์นาดุม, มุสซา ซิสโซโก, เวอร์นอน อานิตา, อาโยเซ เปเรซ, อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช
เชลซี - แอสเมียร์ เบโกวิช, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, เคิร์ท ซูมา, แกรี เคฮิลล์, เซซาร์ อัสปิลิกูเอตา, เชส ฟาเบรกาส, ออสการ์, เอเดน ฮาซาร์ด, เปโดร โรดริเกวซ, เนมานยา มาติช, โลอิค เรมี

ลิเวอร์พูล 3 - 2 แอสตัน วิลลา


ลิเวอร์พูล 3 - 2 แอสตัน วิลลา
ลิเวอร์พูล 3 - 2 แอสตัน วิลลา

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • Anfield, Liverpool
ผู้ตัดสิน: J. Moss • ผู้ชม: 44228


1-0 เจมส์ มิลเนอร์ น.2, 2-0 ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ น.59, 2-1 รูดี เกสเต น.66, 3-1 ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ น.67, 3-2 รูดี เกสเต น.71

ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะในรอบ 5 เกมได้สำเร็จ ด้วยการเปิดบ้านแลกสกอร์กับ แอสตัน วิลลา ไปแบบสุดมันส์ด้วยสกอร์ 3-2

เกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษนัดที่ 7 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟิลด์พบ แอสตัน วิลลา

เพียง 1 นาที 6 วินาที ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน! คูตินโญ ครองบอลอยู่ที่ฝั่งซ้าย ก่อนลากเข้ากลางบริเวณแถวสอง ก่อนหาช่องจ่ายบอลไปถึง เจมส์ มิลเนอร์ จับบอลได้ก่อนยิงเต็มข้อเข้าไปที่ข้างเสาด้านขวาเป็นประตู 1-0

ลิเวอร์พูลเกือบโดนตามตีเสมอในนาทีที่ 22 บอลโยนของแอสตัน วิลลา เข้ามาในเขตโทษ เอ็มเร จัน สกัดบอลพลาดไปเข้าทาง รูดี้ เกสเตด ยิงแบบไม่ต้องจับ บอลหลุดกรอบออกไปทางด้านข้างแบบหวาดเสียว

ลิเวอร์พูลยังครองบอลได้มากกว่าตลอดทั้งเกม โดยช่วงท้ายครึ่งแรก แอสตัน วิลลา มีจังหวะได้บุกบ้าง แต่ยังไม่มีการจบสกอร์ที่ใกล้เคียงให้เห็นมากนัก จบครึ่งแรกด้วยสกอร์นำ 1-0 ของเจ้าถิ่น

ครึ่งหลังยังคงเป็นหงส์แดงเจ้าถิ่นที่เปิดเกมรุกใส่ทีมเยือน นาทีที่ 52 บอลทำชิ่งของผู้เล่นลิเวอร์พูลไปถึง เจมส์ มิลเนอร์ ได้ยิงจากนอกกรอบ แบร็ด กูซาน ปัดออกมายังมี ไคลน์ เติมขึ้นมาแต่โดนประกบทำให้จบสกอร์ไม่ได้

นาทีที่ 54 ลิเวอร์พูลโหมบุกหนัก และมาได้ฟรีคิกระยะหวังผลที่ฝั่งซ้ายนอกกรอบเขตโทษ คูตินโญ อยู่ที่บอล ก่อนยิงเรียดผ่านกำแพงไปได้ บอลพุ่งแรงแต่ กูซาน ยังพุ่งเซฟได้ไม่ยาก

เจ้าบ้านเฮอีกรอบ!! ลูคัส เลวา ออกบอลให้ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ต่อบอลกับ มิลเนอร์ กระดกคืนให้ สเตอร์ริดจ์ ได้ตวัดเท้าซ้ายยิงที่ด้านข้างซ้ายของกรอบหกหลานำห่างเป็น 2-0

ลิเวอร์พูลยังบุกได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทัพสิงห์ผงาดเองก็มีโอกาสโต้กลับ และเข้าทำได้ใกล้เคียงมากขึ้น

แอสตัน วิลลา ตามตีไข่แตกได้สำเร็จ!! นาทีที่ 66 เกมริมเส้นของ ทีมเยือนมาถึง ฮุสตัน ลากไปจนสุดเส้นหลังก่อนเปิดผ่านกองหลังกลับมาหน้าปากประตู รูดี้ เกสเตด เติมมาเข้าชาร์จจ่อๆราว 4 หลา

GOAL!!!! ตัดกลับมาเพียงนาทีเดียว ลิเวอร์พูลหนีห่างไปเป็น 3-1! คูตินโญ จ่ายบอลให้ สเตอร์ริดจ์ ม้วนหลับกองหลังแต่ยังไม่ต่อไม่ได้ จึงทำชิ่งกับคูตินโญ ตอกส้นคืนกลับมา สเตอร์ริดจ์ ส่งบอลเข้าก้นตาข่ายอีกครั้งในนาทีที่ 67

เกมเปิดให้ แอสตัน วิลลา เล่นเกมของตัวเองได้มากขึ้นจนในนาทีที่ 71 จอร์แดน อามาวี พาบอลมาทางริมเส้นฝั่งซ้ายก่อนโยนยาวเข้าหน้าปากประตู เกสเตด คนเดิมขึ้นโหม่งเน้นๆไล่ตีตื้นขึ้นมาเป็น 3-2

นาทีที่ 73 คูตินโญ ปั่นงามหยดข้ามกำแพงและกำลังจะมุดเสียบใต้คานแต่ กูซาน ยังทำได้ดีกว่า กระโดด เซฟไว้ได้อย่างสวยงามไม่แพ้คนยิง

ท้ายเกม แอสตัน วิลลา ทำเกมได้ดีขึ้น และมีจังหวะอันตรายให้เห็นเยอะมากกว่าในครึ่งแรก

ช่วง 5 นาทีสุดท้ายเกมยิ่งเข้มข้น สเตอร์ริดจ์ มีโอกาสได้ยิงแบบใกล้เคียงสุดๆอยู่หลายจังหวะ แต่ทำแฮททริคไม่สำเร็จ

จบเกมลิเวอร์พูล เฉือนชนะ แอสตัน วิลลา ไปได้แบบสุดมันส์ หลังแรกสกอร์กันจนจบที่ 3-2

สโต๊ค ซิตี้ 2 - 1 เอเอฟซี บอร์นมัธ


สโต๊ค ซิตี้ 2 - 1 เอเอฟซี บอร์นมัธ
สโต๊ค ซิตี้ 2 - 1 เอเอฟซี บอร์นมัธ

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • Britannia Stadium, Stoke-on-Trent, Staffordshire
ผู้ตัดสิน: L. Mason • ผู้ชม: 27742


1-0 โจนาธาน วอลเตอร์ส น.32, 1-1 แดน กอสลิง น.76, 2-1 มาเม บิรัม ดิยุฟ น.83

เซาแธมป์ตัน 3 - 1 สวอนซี ซิตี้


เซาแธมป์ตัน 3 - 1 สวอนซี ซิตี้
เซาแธมป์ตัน 3 - 1 สวอนซี ซิตี้

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • St. Mary's Stadium, Southampton, Hampshire
ผู้ตัดสิน: R. East • ผู้ชม: 30704


1-0 เวอร์จิล ฟาน ไดค์ น.11, 2-0 ดูซาน ทาดิช น.54, 3-0 ซาดิโอ มาเน น.61, 3-1 กิลฟี ซิกูร์ดสัน น.83

เลสเตอร์ ซิตี้ 2 - 5 อาร์เซนอล

เลสเตอร์ ซิตี้ 2 - 5 อาร์เซนอล
เลสเตอร์ ซิตี้ 2 - 5 อาร์เซนอล

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • King Power Stadium, Leicester, Leicestershire
ผู้ตัดสิน: C. Pawson • ผู้ชม: 32047


1-0 เจมี วาร์ดี น.13, 1-1 ธีโอ วัลคอตต์ น.18, 1-2 อเล็กซิส ซานเชซ น.33, 1-3 อเล็กซิส ซานเชซ น.57, 1-4 อเล็กซิส ซานเชซ น.81, 2-4 เจมี วาร์ดี น.89, 2-5 โอลิวิเยร์ ชิรูด์ น.93

เลสเตอร์ ซิตี 2-5 อาร์เซนอล

แนวรุกทีมชาติชิลีกลับมาระเบิดฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง หลังเหมา 3 ประตู พา อาร์เซนอล บุกหยุดสถิติไร่พ่ายของ เลสเตอร์ ซิตี้ ไว้ที่ 6 นัด

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำสัปดาห์ที่ 7 ที่คิงพาวเวอร์ สเตเดียม ระหว่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนเกมรั้งอันดับ 4 ของตาราง เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ อาร์เซนอล ก่อนเกมรั้งอันดับ 6 ของตาราง

เคลาดิโอ รานิเอรี ผู้จัดการทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจพัก โกคาน อินแลร์ ไว้ที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง มาร์ค อัลไบรท์ตัน ลงมาเล่นแทน นอกนั้นยังเป็นผู้เล่นชุดเดิมจากเกมลีกนัดก่อน ที่บุกยันเสมอ สโต๊ค ซิตี้ 2-2 นำโดย คาสเปอร์ ชไมเคิล (ผู้รักษาประตู), เวส มอร์แกน, แดนนี ดริ๊งค์วอเตอร์, ริยาด มาห์เรซ และแดนหน้าให้ เจมี วาร์ดี้ จับคู่กับ ชินจิ โอกาซากิ

ขณะที่ฝั่ง อาร์เซนอล ของกุนซือ อาร์แซน เวงเกอร์ ยังคงให้ มาติเยอ ฟลามินี่ ฮีโร่ผู้ทำ 2 ประตูในเกมเขี่ย ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส ตกรอบ 3 ลีกคัพ ยืนปักหลักในแดนกลางเช่นเคย พร้อมกับมาใช้ ธีโอ วัลคอตต์ ยืนเป็นหน้าเป้าไล่ล่าตาข่ายอีกครั้ง โดยมี อเล็กซิส ซานเซซ, อารอน แรมซีย์ และ เมซุต โอซิล คอยเติมเกมสนับสนุนอยู่ด้านหลัง

เริ่มเกมมาได้เพียง 13 นาที กลายเป็นเจ้าบ้านที่มาทำประตูออกนำไปก่อน จากจังหวะสวนกลับเร็ว และเป็น แดนนี ดริ๊งค์วอเตอร์ บรรจงสาดยาวจากแดนตัวเองขึ้นหน้าให้ เจมี วาร์ดี้ แตะหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนเอี้ยวตัวปั่นด้วยขวา ส่งบอลพุ่งเสียบเสาไกลเข้าไปตุงตาข่าย ช่วยให้เลสเตอร์ขึ้นนำ 1-0

แต่ว่าถัดมาเพียง 5 นาที 'ไอ้ปืนใหญ่' มาตามตีเสมอได้สำเร็จ จากจังหวะที่สวนกลับเร็วเช่นกัน และเป็น ซานติ กาซอร์ลา บรรจงจ่ายทะลุช่องให้ ธีโอ วัลคอตต์ หลุดกับดักหน้าให้ไปในกรอบเขตโทษ ก่อนแปหักข้อด้วยซ้าย ส่งบอลไหลสวนตัว คาสเปอร์ ชไมเคิล เช็ดเสาไกลเข้าไปอย่างเฉียบคม

อย่างไรก็ตาม นาทีที่ 21 อาร์เซนอล ต้องมาเสียโควต้าเปลี่ยนตัวไปโดยปริยาย เนื่องจาก มาติเยอ ฟลามินี่ มีปัญหาอาการบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว ทำให้ อาร์แซน เวงเกอร์ ตัดสินใจส่ง มิเกล อาร์เตต้า ลงมาทำหน้าที่แทน

แต่แล้วนาทีที่ 33 กลายเป็น อาร์เซนอล ที่มาได้ประตูพลิกขึ้นนำเป็น 2-1 จากจังหวะที่ เมซุต โอซิล ไขว้ส่งต่อเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวาให้ เฮคเตอร์ เบเยลิน ปาดเลียดเข้ากลางแบบไม่ต้องจับ และเป็นแนวรับเจ้าถิ่นสกัดบอลไม่ขาดไปเข้าทาง อเล็กซิส ซานเซซ แปโล่งๆในกรอบ 6 หลาเข้าไปไม่เหลือ พร้อมกับเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้ด้วย

จากนั้นทั้งสองทีมพยายามเปิดเกมบุกแลกกันอย่างสุดมัน แต่ทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ ทำให้จบ 45 นาทีแรก อาร์เซนอล ยังรักษาสกอร์นำอยู่ 2-1

กลับมาเล่นในครึ่งหลัง เคลาดิโอ รานิเอรี กุนซือ เลสเตอร์ ซิตี้ ชิงแก้เกมก่อนทันที โดยถอดเอา ชินจิ โอกาซากิ ศูนย์หน้าทีมชาติญีปุ่น ที่เกมนี้โชว์ฟอร์มไม่ค่อยดีออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง แอนดี้ คิงส์ กองกลางทีมชาติเวลส์ลงมาเล่นแทน

นาทีที่ 57 อาร์เซนอล มาบวกประตูที่สามเพิ่มได้อีก จากลูกที่ อเล็กซิส ซานเซซ ไหลเลียดออกไปทางฝั่งซ้ายให้ เมซุต โอซิล ดึงหลอกหนึ่งจังหวะ ก่อนงัดเข้าไปในกรอบเขตโทษอย่างเหนือชั้นให้ ซานเซซ คนเดิมเติมขึ้นมาโขกตัดหน้า คาสเปอร์ ชไมเคิล เข้าประตูไป ช่วยให้ทีมเยือนหนีห่างเป็น 3-1

อาร์เซนอล ยังเดินหน้าบุกเข้าใส่เจ้าถิ่นอย่างเมามัน กระทั่งนาทีที่ 81 พวกเขามาทำประตูเพิ่มจนได้ จากจังหวะที่ อเล็กซิส ซานเซซ แตะหนี เอ็นโกโล ก็องเต้ กองกลางเจ้าถิ่น ก่อนตะบันด้วยขวาเต็มข้อจากระยะประมาณ 25 หลา ส่งบอลพุ่งเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างสุดสวย ช่วยให้เดอะ กันเนอร์สทิ้งห่างเป็น 4-1

อย่างไรก็ตาม เจ้าบ้านไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อมาได้ประตูไล่ตามมาเป็น 2-4 ในนาทีที่ 89 จากลูกที่ ริยาด มาห์เรซ เปิดจากริมเส้นฝั่งขวาเข้ามาในเขตโทษให้ อันเดรย์ ครามาริช ชาร์จจ่อๆติดเซฟของ ปีเตอร์ เช็ค ก่อนบอลหลุดมาเข้าทาง เจมี วาร์ดี้ อัดเต็มข้อยัดเสาไกลเข้าไปอย่างเด็ดขาด

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อาร์เซนอล มาได้ประตูย้ำชัย จากลูกที่ นาโช มอนเรอัล ปาดเลียดจากฝั่งซ้ายเข้ามาในกรอบเขตโทษให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กองหน้าตัวสำรองเอี้ยวแปด้วยซ้ายเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างเฉียบคม

จบเกม อาร์เซนอล บุกถล่ม เลสเตอร์ ซิตี้ ไปแบบสุดมัน 5-2 เก็บสามแต้มสำคัญ ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 4 ของตาราง มี 13 คะแนนจาก 7 นัด ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ่าฝูงอยู่ 3 คะแนน ส่วน เลสเตอร์ หล่นไปอยู่ที่ 6 ของตาราง

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2 - 2 นอริช ซิตี้


เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2 - 2 นอริช ซิตี้
เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2 - 2 นอริช ซิตี้

พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • Boleyn Ground, London
ผู้ตัดสิน: M. Dean • ผู้ชม: 34857


0-1 โรเบิร์ต เบรดี น.9, 1-1 ดิอาฟรา ซาโก น.33, 1-2 นาธาน เรดมอนด์ น.83, 2-2 ชีคู คูยาเต น.93

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 0 ซันเดอร์แลนด์

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 0 ซันเดอร์แลนด์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 0 ซันเดอร์แลนด์
พรีเมียร์ลีก
26 กันยายน 2015 • 21:00 • Old Trafford, Manchester
ผู้ตัดสิน: M. Jones • ผู้ชม: 75328

45'+4 MEMPHIS 1-0 // 46' WAYNE ROONEY 2-0 // 90' JUAN MATA 3-0

พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 ซันเดอร์แลนด์


เมมฟิส เดปาย และ เวย์น รูนีย์ สองตัวบุกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กอดคอกันเปิดซิงประตูแรกใน พรีเมียร์ ลีก ได้แล้ว หลังเปิดบ้านถล่ม ซันเดอร์แลนด์ ขาดลอย 3-0 ก่อนแซง แมนเชสเตอร์ ซิตี ขึ้นเป็นจ่าฝูงเป็นทางการ

หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือเจ้าบ้าน ตัดสินใจโยก มัตเตโอ ดาร์เมียน ไปยืนแบ็คซ้ายแทน ลุค ชอว์ และ มาร์กอส โรโฆ ที่บาดเจ็บ ส่วนมิดฟิลด์คู่กลางปรับมาใช้ ไมเคิล คาร์ริค ลงเล่นกับ มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน ด้านสองแนวรุกดาวรุ่งอย่าง เมมฟิส เดปาย และ อ็องโตนี มาร์กซิยาล ได้โอกาสกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง

ด้านทีมเยือนของ ดิ๊ค อาตโวคาท ซึ่งกำลังเก้าอี้ร้อนอย่างหนัก หลังตกเป็นกุนซือเต็งหนึ่งที่มีโอกาสถูกปลดมากที่สุด เลือกตัวหลักอย่าง คอสเทล พันติลิมอน, ยูเนส กาบูล, บิลลี โจนส์ และ ลี แคตเตอร์โมล กลับมายืน 11 คนแรกอีกครั้ง ส่วนแนวรุกฝากความหวังในการทำประตูไว้ที่ ฟาบิโอ บอรินี กองหน้าตัวเป้า

เกมใน 45 นาทีแรกเป็นแมนฯยูฯที่ครองบอลบุกได้เหนือกว่าอย่างชัดเจน แต่กว่าจะมาได้ประตูขึ้นนำก็ต้องรอจนถึงช่วงทดเจ็บนาทีที่ 45+4 จากจังหวะที่ ดาลีย์ บลินด์ วางบอลยาวจากกลางสนามให้ ฆวน มาต้า แปะถวานพานต่อให้ เดปาย เข้าฮอร์สจ่อๆเข้าไป เป็นประตูแรกของเจ้าตัวในพรีเมียร์ลีกด้วย ช่วยให้จบครึ่งแรกเป็นปีศาจแดงที่ออกนำอยู่ 1-0

ครึ่งหลังแวบเดียว นาที 46 แมนยูฯ ได้ประตูเร็วทิ้งห่าง 2-0 อองโตนี มาร์กซิยาล ลากมาสุดเส้นหลังแล้วเปิดให้ เวย์น รูนีย์ ใช้เข่าจิ้มเข้าไปง่าย ๆ ขณะที่ นาที 53 ซันเดอร์แลนด์ ขอลูกตีไข่แตก ลี แคทเทอร์โมล ผ่านให้ โอลา ตอยโวเนน ยิงมุมแคบแต่ ดาบิด เด เคอา เซฟได้อีก

นาที 69 ผีแดง พลาดโอกาสทองฝังเพชร อองโตนี มาร์กซิยาล ใจกว้างดั่งแม่น้ำแทงให้ เมมฟิส เดปาย พังลูกที่สองแต่บอลเบาเข้ามือ คอสเทล พานทิลิมอน เฉย ส่วนช่วงท้ายเกม นาที 89 เจ้าบ้านก็มาจัดการตอกฝาโลง แอชลีย์ ยัง เปิดออกขวาให้ ฆวน มาตา ตั้งป้อมยิงตาข่ายแทบขาด จบเกม ชนะ 3-0 เก็บเพิ่ม 16 แต้ม แซง “เรือใบสีฟ้า” ขึ้นจ่าฝูงเรียบร้อย

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด - ดาบิด เด เคอา, คริส สมอลลิง, ดาลีย์ บลินด์, อันโตนิโอ วาเลนเซีย, มัตเตโอ ดาร์เมียน, เมมฟิส เดปาย, ฆวน มาตา, ไมเคิล คาร์ริค, มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน, เวย์น รูนีย์, อองโตนี มาร์กซิยาล
ซันเดอร์แลนด์ - คอสเทล พานทิลิมอน, บิลลี โจนส์, แพทริค ฟาน อันโฮล์ต, ยูเนส กาบูล, จอห์น โอเชีย, ลี แคทเทิลโมล, อดัม จอห์นสัน, เจเรเมน เลนส์, โอลา ตอยโวเนน, ยานน์ เอ็มวีลา, ฟาบิโอ บอรินี

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 0 อิปสวิช ทาวน์


แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 0 อิปสวิช ทาวน์
LEAGUE CUP
24 กันยายน 2015 • 2:00 • Old Trafford, Manchester
ผู้ตัดสิน: S. Hooper


23' WAYNE ROONEY 1-0 // 60' ANDREAS PEREIRA 2-0 // 90' ANTHONY MARTIAL 3-0

ดาวรุ่งชาวบราซิเลียน เปิดตัวยังโรงละครแห่งความฝันในฐานะตัวจริงของปีศาจแดงนัดแรก ด้วยการปั่นฟรีคิกสุดสวยพาทีมกรุยทางสู่รอบ 4 ของศึกแคปิตอล วัน คัพ ได้สำเร็จ

หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือเจ้าบ้าน ตัดสินใจให้โอกาส อันเดรียส เปเรย์รา มิดฟิลด์ดาวรุ่งชาวบราซิล ออกสตาร์ตเป็น 11 ตัวจริงครั้งแรก โดยจะลงทำเกมรุกร่วมกับรุ่นพี่อย่าง ฆวน มาต้า, มารูยาน เฟลไลนี และ เวย์น รูนีย์ ด้าน แอชลีย์ ยัง กับ อันโตนิโอ วาเลนเซีย ถูกจับโยกไปประจำการแบ็คซ้ายและขวาตามลำดับ

ด้านทีมเยือนจากลีกแชมเปี้ยนชิพของ มิค แม็คคาร์ทีย์ เปลี่ยนแปลง 11 คนแรกจากเกมก่อนที่เปิดบ้านเสมอกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ 1-1 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาแบบยกชุด นำโดยสองคู่กองหน้าอย่าง ดารีล เมอร์ฟีย์ และ เดวิด แม็คโกลด์ริค ซึ่งจะลงประสานงานในแนวรุกร่วมกับ เควิน บรู และ ทอมมี โออาร์

เริ่มเกมมาเป็นแมนฯยูฯที่ครองบอลบุกเข้าใส่ทันที จนกระทั่งนาทีที่ 23 ก็มาพังประตูขึ้นนำได้สำเร็จ จากจังหวะที่ ดาลีย์ บลินด์ วางบอลยาวจากกลางสนามให้ รูนีย์ เบียดเอาชนะแนวรับอิปสวิชก่อนจะหลุดไปยิงด้วยซ้ายเข้าไป ส่งให้ปีศาจแดงออกนำ 1-0

หลังจากนั้นยังเป็นเจ้าบ้านที่ทำเกมรุกได้เหนือกว่า แต่ไม่สามารถใส่สกอร์ที่สองเพิ่มเติมได้ ทำให้จบ 45 นาทีแรกเป็นแมนฯยูฯนำอยู่ 1-0 เหมือนเดิม

เข้าสู่ครึ่งหลังก็ยังเป็นปีศาจแดงที่รูปเกมเหนือกว่ามาก จนกระทั่งนาทีที่ 60 ก็มาบวกลูกสองเพิ่มได้อีก จากการปั่นฟรีคิกบริเวณหัวกะโหลกของ เปเรย์รา บอลโค้งข้ามกำแพงเช็ดเสาเข้าไปอย่างสวยงาม และถือเป็นประตูแรกในทีมชุดใหญ่ของเจ้าตัวด้วย ช่วยให้เจ้าบ้านหนีห่างเป็น 2-0

ช่วงทดเจ็บปีศาจแดงมาได้ประตูที่สามปิดท้าย จากจังหวะที่ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ วางบอลยาวจากกลางสนามให้ เมมฟิม เดปาย แตะบอลต่อให้ อ็องโตนี มาร์กซิยาล หลุดไปซัดผ่านมือนายด่านอิปสวิชเข้าไป ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เอาชนะไปแบบไม่ยากเย็น 3-0 ผ่านเข้าสู่รอบ 4 ของศึกแคปิตอล วัน คัพ ได้สำเร็จ

เซาแธมป์ตัน 2 - 3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เซาแธมป์ตัน 2 - 3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เซาแธมป์ตัน 2 - 3 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ลีก
20 กันยายน 2015 • 22:00 • St. Mary's Stadium, Southampton, Hampshire
ผู้ตัดสิน: ม. แคล็ทเทนเบิร์ก • ผู้ชม: 31588

13' Graziano Pelle 1-0 // 34' Anthony Martial 1-1 // 50' Anthony Martial 1-2 // 68' Juan Mata 1-3 // 86' Graziano Pelle 2-3

เจ้าของฉายานิวอองรีเริ่มปล่อยของออกมาเรื่อยๆ หลังเหมายิงคนเดียวสองประตูพาปีศาจแดงบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้เดอะ เซนต์ พร้อมแซงเวสต์แฮมขึ้นรั้งรองจ่าฝูง

“ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พิชิต “นักบุญ” เซาแธมป์ตัน แบบหวุดหวิด 3-2 จากประตูของ อองโตนี มาร์กซิยาล (2 ลูก) และ ฆวน มาตา ที่สนาม เซนต์ แมรี เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ขยับรั้งอันดับ 2 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ กวด แมนเชสเตอร์ ซิตี 2 แต้ม


ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
เซาแธมป์ตัน 2-3 แมนฯ ยูไนเต็ด


โรนัลด์ คูมัน กุนซือเจ้าบ้าน ปรับทัพจากเกมก่อนที่บุกไปเสมอกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 0-0 ทั้งสิ้ง 3 ราย ได้แก่ มายะ โยชิดะ, โอริโอล โรเมอู และ ซาดิโอ มาเน ที่ได้โอกาสลงเป็นตัวจริงแทน เซดริก โซอาเรส, สตีเวน เดวิส และ เจย์ โรดริเกวซ ขณะที่แนวรุกยังฝากความหวังไว้ที่ ดูซาน ทาดิช กับ กราเซียโน เปลเล เหมือนเดิม

ด้านทีมเยือนของ หลุยส์ ฟาน กัล ได้ เวย์น รูนีย์ กองหน้ากัปตันทีมหายเจ็บกลับมาลงสนามอีกครั้ง ด้านมิดฟิลด์คู่กลางเปลี่ยนมาใช้ มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน ที่จะได้กลับมาเยือนถิ่นเก่า ลงเล่นร่วมกับ ไมเคิล คาร์ริค ส่วนแบ็คซ้ายทีเสีย ลุค ชอว์ ซึ่งขาหักพักยาวไปแล้ว เป็นฌิกาสของ มาร์กอส โรโฆ ที่ได้ลงเล่นแทน

เปิดฉากเกมมาเป็นเซาแธมป์ตันที่ลุยเข้าใส่ทันที จนกระทั่งนาทีที่ 13 ก็มาได้ประตูขึ้นนำ จากจังหวะที่ เจมส์ วอร์ด พราวส์ เปิดบอลจากกราบขวาเข้าเขตโทษให้ มาเน โฉบมายิงติดเซฟ ดาบิด เด เฮอา ไปเข้าทาง เปลเล ซ้ำจ่อๆไม่เหลือซาก ส่งให้นักบุญออกนำ 1-0

หลังจากนั้นก็ยังเป็นเจ้าบ้านที่ครองเกมบุกได้เหนือกว่า แต่แล้วในนาทีที่ 34 กลับเป็นแมนฯยูฯที่ได้มาได้ประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ ชไนเดอร์ลิน โหม่งหนุนเข้าไปในเขตโทษ ก่อนจะเป็น โชเซ ฟอนเต้ ที่เบียดเอาชนะ ฆวน มาต้า ได้แต่สะกัดบอลไม่ดีมาเข้าทาง อ็องโตนี มาร์กซิยาล ล็อคหลบ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ อย่างเหนือชั้นแล้วยิงเข้าไปง่ายๆ ทำให้สกอร์กลับมาเท่ากันอีกครั้งที่ 1-1 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

เข้าสู่ครึ่งหลังปีศาจแดงเป็นฝ่ายพลิกขึ้นนำบ้างแบบส้มหล่น ในนาทีที่ 50 จากความผิดพลาดของ มายะ โยชิดะ ที่ส่งคืนหลังไม่ดีมาเข้าทาง มาร์กซิยาล เก็บตกบอลไปเอี้ยวตัวแปด้วยขวาเข้าไปอย่างเด็ดขาด ช่วยให้ทีมเยือนแซงนำ 2-1

ถัดมานาทีที่ 68 แมนฯยูฯมาบวกลูกสามได้อีก จากจังหวะที่ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ตัวสำรองซึ่งลงไแทน คาร์ริค ก่อนหน้านั้น 8 นาที ไหลเข้าช่องให้ เมมฟิส เดปาย ล็อคหลบ ฟอนเต้ แล้วยิงชนเสาไปเข้าทาง มาต้า ซ้ำเหน่งๆตุงตาข่าย ส่งให้ปีศาจแดงหนีห่างเป็น 3-1

จากนั้นช่วงท้ายเกมนาทีที่ 86 เซาแธมป์ตันมาได้ประตูตีตึ้น จากจังหวะที่ มาเน โยนบอลจากริมกรอบเขตโทษฝั่งขวาให้ เปลเล เทกตัวโขกคนเดียวแบบไร้ตัวประกบเข้าไป ส่งให้นักบุญไล่มาเป็น 2-3

ช่วงทดเจ็บ ดาบิด เด เคอา นายทวาร ยูไนเต็ด สวมบทฮีโร่ พุ่งปัดลูกยิงไกลของ วิคเตอร์ วันยามา ตามด้วยเซฟลูกโขกเตะมุมฝั่งซ้ายของ โฆเซ ฟอนเต จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะไป 3-2 เก็บเพิ่มเป็น 13 แต้ม จาก 6 นัด

รายชื่อ 11 ตัวจริง
เซาแธมป์ตัน : มาร์เตน สเตเคเลนเบิร์ก , มายะ โยชิดะ , โฆเซ ฟอนเต , เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก , แม็ตต์ ทาร์เก็ตต์ , ซาดิโอ มาเน , ดูซาน ทาดิช , วิคเตอร์ วันยามา , โอริโอล โรเมอู , เจมส์ วอร์ด-พราวส์ , กราเซียโน เปลเล
แมนฯ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา , มาร์คอส โรโฮ , คริส สมอลลิง , เดลีย์ บลินด์ , มัตเตโอ ดาร์เมียน , เมมฟิส เดปาย , ฆวน มาตา , เวย์น รูนีย์ , ไมเคิล คาร์ริค , มอร์แกน ชไนเดอร์แลง , อองโตนี มาร์กซิยาล

ลิเวอร์พูล 1 - 1 นอริช ซิตี้

ลิเวอร์พูล 1 - 1 นอริช ซิตี้
ลิเวอร์พูล 1 - 1 นอริช ซิตี้
พรีเมียร์ลีก
20 กันยายน 2015 • 22:00 • Anfield, Liverpool
ผู้ตัดสิน: A. Taylor • ผู้ชม: 44072

48' Danny ings 1-0 // 61' Russell Martin 1-1

ทัพหงส์แดงทำได้เพียงเปิดบ้านแบ่งแต้มกับนกขมิ้นเหลืองอ่อน แม้ว่า แดนนี อิงส์ จะปลดล็อคประตูแรกได้ แต่ทีมก็โดนตามตีเสมอก่อนจบที่ 1-1

เกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 6 'หงส์แดง' ลิเวอร์พูลเปิดรังเหย้า แอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ 'นกขมิ้นเหลืองอ่อน' นอริช ซิตี้ โดยที่ทั้งสองทีมมี 7 คะแนนเท่ากัน

เจ้าบ้านมีข่าวดีเมื่อ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ สามารถกลับมามีชื่อเป็นตัวจริงลงสนามได้ ในขณะที่ เบนเทเก้ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม พร้อมทั้ง คูตินโญ ที่ติดโทษแบนในนัดก่อนก็กลับมาเช่นเดียวกัน

ส่วนทางฝั่งทีมเยือนก็ส่งผู้เล่นชุดหลักเช่นกันทั้ง คาเมรอน เจอโรม, นาธาน เรดมอนด์, อเล็กซานเดอร์ เท็ตตีย์, สตีเวน วิธเทเกอร์

เริ่มเกมเป็นทีมเยือนที่เปิดเกมรุกกดดันได้มากกว่า 15 นาทีแรกเป็นนอริชที่ครองบอลแต่ไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่อันตรายได้มากนัก

ลิเวอร์พูลเริ่มตั้งเกมได้ นาทีที่ 17 โมเรโน พาบอลหนีตัวประกบไปได้ทางริมเส้นฝั่งซ้าย ก่อนจ่ายเรียดเข้ากลาง บอลไปถึงเจมส์ มิลเนอร์ส สับไกยิงเต็มข้อ แต่บอลยังไปติดบล็อคของ วิธเทเกอร์

นาทีที่ 33 แข้งเจ้าถิ่นเล่นผิดพลาดเสียบอลเอง ลูคัส เลวา มองเห็นช่องจ่ายยาวไปให้ สเตอร์ริดจ์ มีทั้งเวลา และพื้นที่ในการจบสกอร์ แต่ยังยิงไปติดตัวของนายประตูทีมเยือน

ลิเวอร์พุลเริ่มรุกได้อย่างต่อเนื่องและในนาทีที่ 36 เป็นบอลจากโมเรโนอีกครั้งที่จ่ายจากฝั่งซ้ายเข้ากลาง มิลเนอร์ส ทำชิ่งกับ เบนเทเก้ ก่อนที่จังหวะสุดท้ายจะไปติดตัวของ รัดดี้ มือกาวคนเดิมที่วันนี้เจองานหนัก

เกมโต้กลับเร็วของลิเวอร์พูลนาทีที่ 40 โมเรโน พาบอลมาจากแดนเจ้าถิ่นถึงหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนออกบอลให้ เบนเทเก้ ไปเองไม่ได้คืนมาที่แถวสอง มีคูตินโญ เติมขึ้นมายิง แต่บอลแฉลบผู้เล่นนอริช จอห์น รัดดี้ รับไว้ได้สบายมือ

ท้ายครึ่งแรกเกมยังไม่เร่งมากนักและยังไม่มีใครเบิกสกอร์ได้จบแบบไร้สกอร์

ครึ่งหลังลิเวอร์พูลมีการถอด เบนเทเก้ ออก และส่งแดนนี อิงส์ ลงมาร่วมล่าตาข่ายกับ สเตอร์ริดจ์

ลิเวอร์พูลขึ้นนำตั้งแต่ในช่วงต้นครึ่งหลัง นอริชเสียบอลที่กลางสนาม บอลมาเข้าเทา โมเรโน มองเห็นช่องโยนยาวไปให้ แดนนี อิงส์ พักอกเอาบอลลง ก่อนยิงรอดขาของ รัดดี้ให้ทีมหงส์แดงขึ้นนำ 1-0

ลิเวอร์พูลได้บุกอย่างต่อเนื่อง นาทีที่ 54 สเตอร์ริดจ์ จ่ายทะลุช่องให้ คูตินโญ แต่ยังยิงหลุดกรอบออกไปเอง

นอริชตามตีเสมอได้สำเร็จ! นาทีที่ 60 นอริชได้เตะมุมเป็นครั้งแรกของเกม บอลโยนเข้ามาหน้าปากประตู มิโญเลต์ ชกบอลออกไปไม่พ้นอันตราย รัสเซลล์ มาร์ติน พักออกก่อนตวัดเข้าส่งบอลเข้าก้นตาข่ายตีไข่แตกให้ทีมเยือน

ทั้งสองทีมเร่งจังหวะของเกมมากขึ้น นาทีที่ 65 ลิเวอร์พูลได้จบสกอร์อีกครั้ง คราวนี้เป็น โมเรโน ที่ลองส่องประตูด้วยตัวเอง บอลตรงกรอบที่มุมซ้ายบน แต่ รัดดี้ เซฟเอาไว้ได้

นาทีที่ 77 เป็นอีกหนึ่งโอกาสทองที่ใกล้เคียงการเป็นประตูที่สุดของลิเวอร์พูล เฟร์มิโน ออกบอลให้ คูตินโญ หลุดเดี่ยวมาทางฝั่งขวา ตรงกลางมี แดนนี อิงส์ เติมขึ้นมาโล่งเช่นกัน แต่ คูตินโญ ตัดสินใจยิงด้วยตัวเองติดเซฟของรัดดี้

นาทีที่ 79 คูตินโญ ยังพยายามลองลากเข้ามายิงที่หน้ากรอบเขตโทษ บอลแฉลบผู้เล่นนอริช หลุดกรอบไปเป็นเตะมุม บอลเตะมุมเข้ามาก็เข้ามือของ รัดดี้ ที่ออกมาโดดคว้าสบายๆ

นาทีที่ 81 ลัลลานาพยายามเลี้ยงบอลผ่านแผงหลังนอริช บอลโดนสกัดแต่ยังเข้าทาง อิงส์ เลี้ยงไปต่อในเขตโทษ หนีเซฟของรัดดี้เล็กน้อย แต่บอลเสียจังหวะ หลุดออกหลังไปก่อนที่จะได้ยิง

ช่วงท้ายเกมลิเวอร์พูลยังได้เข้าทำอีกหลายครั้งแต่ไม่สามารถปิดสกอร์ได้ทำให้ต้องแบ่งแต้มกับ นอริชไปด้วยสกอร์ 1-1

ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส 1 - 0 คริสตัล พาเลซ

ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส 1 - 0 คริสตัล พาเลซ
ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส 1 - 0 คริสตัล พาเลซ
พรีเมียร์ลีก
20 กันยายน 2015 • 19:30 • White Hart Lane, London
ผู้ตัดสิน: M. Oliver • ผู้ชม: 35723

62' Heung-Min Son 1-0

ซอน ฮอง มิน ศูนย์หน้าป้ายแดง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ซัดตุงแรก ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เชือด คริสตัล พาเลซ แบบหวุดหวิด 1-0 ที่สนาม ไวท์ ฮาร์ท เลน เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา

เมาริซิโอ โปเช็ตติโน นายใหญ่ 'ไก่เดือยทอง' กลับมาใช้ผู้เล่นชุดใหญ่ที่ได้พักในเกมยุโรปกลางสัปดาห์ลงสนามครบครับ นำโดย แยน แฟร์ตองเก้น, ไคล์ วอล์คเกอร์, เบน เดวีส์ และ แฮร์รี เคน พร้อมกับถอย ซน ฮึงมิน ลงมาทำเกมสนับสนุนกองหน้าร่วมกับ นาเซอร์ ชาดลี และ เอริค ลาเมลา

ขณะที่ทัพ 'ปราสาทเรือนแก้ว' ของกุนซือ อลัน พาร์ดิว เปลี่ยนแปลงผู้เล่นเพียงรายเดียวเท่านั้นจากเกมนัดก่อน ที่เปิดบ้านพ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1 โดยไม่มีชื่อของ สกอตต์ แดนน์ กองหลังเลือดผู้ดีที่มีปัญหาเรื่องความฟิต ทำให้ ดาเมียน เดลานีย์ เซ็นเตอร์ทีมชาติไอร์แลนด์ได้โอกาสลงมาเล่นแทน

เกมผ่านมาถึงนาทีที่ 16 เจ้าบ้านเริ่มหาโอกาสเปิดฉากทักทายก่อน จากจังหวะที่ เอริค ลาเมลา พลิกหนีตัวประกบ ก่อนกดด้วยซ้ายเต็มข้อจากระยะประมาณ 25 หลา บอลกำลังจะพุ่งเสียบเสาอยู่แล้ว แต่ว่านายด่าน พาเลซ อย่าง อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ ยังปฏิกิริยาไวพุ่งปัดสุดปลายมือออกไปได้อย่างหวุดหวิด

4 นาทีต่อมา เจ้าถิ่นได้โอกาสอีกครั้ง จากลูกที่ แฮร์รี เคน ไหลจากกราบซ้ายเข้าไปในเขตโทษให้ ซน ฮึงมิน เคาะย้อนกลับมาตรงบริเวณหัวกระโหลกให้ นาเซอร์ ชาดลี วางเท้าแปด้วยขวา แต่ว่าบอลไร้น้ำหนักและพุ่งไปตรงตัว อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ ทำให้นายทวารเลือดผู้ดีล้มตัวรับเข้าซองเอาไว้ได้ไม่มีปัญหา

จากนั้นรูปเกมยังเป็น สเปอร์ส ที่โหมบุกอย่างหนัก และมาได้โอกาสอีกครั้ง ในนาทีที่ 31 จากลูกที่ นาเซอร์ ชาดลี บรรจงไหลถวายพานไปตรงบริเวณหัวกระโหลกให้ เดเล อัลลี วิ่งมาตะบันด้วยขวาเน้นๆ ทำให้ อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ ต้องออกแรงพุ่งปัดออกไปอีกเช่นเคย ่

ถัดมาเพียงนาทีเดียว พาเลซ เริ่มตอบโต้คืนบ้าง จากลูกฟรีคิกระยะน่ารักน่าลุ้น ประมาณ 22 หลา เยื้องออกมาทางฝั่งขวา และเป็น บาคารี ซาโก้ รับหน้าที่ปั่นด้วยซ้าย บอลกำลังจะฮุคเสียบใต้คานอยู่แล้ว แต่ว่า ฮูโก้ โยริส โชว์ซูเปอร์เซฟ ด้วยการบินปัดสุดปลายมือออกไปอย่างยอดเยี่ยม

ก่อนหมดครึ่งแรก 1 นาที พาเลซ น่ามาได้ประตูขึ้นนำแบบสุดๆ จากลูกที่ วิลฟรีด ซาฮา บรรจงไหลเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวาให้ โยฮัน กาบาย ตวัดไซร้ก้อยด้วยขวา บอลโค้งหนีมือ ฮูโก้ โยริส พุ่งไปชนเสาไกลอย่างจัง ทำให้จบ 45 นาทีแรกยังคงเสมอกันแบบไร้สกอร์ 0-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลัง คริสตัล พาเลซ ชิงแก้เกมก่อนทันที โดยถอดเอา วิลฟรีด ซาฮา ออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง เฟร์เซอร์ แคมป์เบลล์ ลงมาทำหน้าที่แทน

นาทีที่ 52 เจ้าถิ่นเริ่มเปิดฉากทักทายทันที จากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 22 หลาเยื้องไปทางฝั่งซ้าย และเป็น เอริค ลาเมลา รับหน้าที่บรรจงปั่นด้วยซ้ายเน้นๆ บอลกำลังจะโค้งเสียบใต้คานอยู่แล้ว แต่ว่า อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ ยังลอยตัวปัดออกไปได้

นาทีที่ 58 แฟนสเปอร์สต้องลุกขึ้นเฮกันเก้อ จากจังหวะที่ ซน ฮึงมิน กระชากหลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนกดเลียดไปติดเซฟของ อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ บอลลอยโด่งหน้าปากประตูเข้าทาง เบน เดวีส์ โหม่งจังหวะแรกไม่ดี แต่บอลยังลอยมาเข้าทางให้โหม่งซ้าดาบสองเข้าไปตุงตาข่าย แต่ว่าผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงล้ำหน้า จากจังหวะที่ แฮร์รี เคน พยายามจะเล่นบอลไปก่อนหน้านี้แล้ว

กระทั่งนาทีที่ 68 เจ้าถิ่นมาทำประตูออกนำไปก่อนจนได้ จากจังหวะสวนกลับเร็วจากแดนตัวเอง เริ่มจาก เอริค ลาเมลา ไหลขึ้นหน้าให้กับ คริสเตียน อีริคเซน ตัวสำรองส่งต่อให้ ซน ฮึงมิน พาบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนกดเลียดด้วยซ้ายแฉลบลอดขา อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์ เข้าไปตุงตาข่าย ช่วยให้สเปอร์สขึ้นนำ 1-0 พร้อมกับเป็นประตูแรกในลีกอังกฤษของเจ้าตัวด้วย

จบเกม ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เอาชนะไป 1-0 เก็บเพิ่มเป็น 9 แต้ม จาก 6 นัด

รายชื่อ 11 ตัวจริง
สเปอร์ส : ฮูโก โยริส , ไคล์ วอล์คเกอร์ , โทบี ไอเดอร์ไวเรลด์ , แยน แฟร์ตองเกน , เบน เดวิส , ซอง ฮอง มิน , เอริก ลาเมลา , เอริค ไดเออร์ , เดเล อัลลี , เนเซอร์ แชดลี , แฮร์รี เคน
คริสตัล พาเลซ : อเล็กซ์ แม็คคาร์ธี , เบรเด ฮังเกลันด์ , ปาเป ซูอาเร , ดาเมียน เดลานีย์ , มาร์ติน เคลลี , โยฮัน กาบาย , วิลฟรีด ซาฮา , เจมส์ แม็คอาร์เธอร์ , บาการี ซาโก , เจสัน พันเชียน , ยานนิค โบลาซี

นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 1 - 2 วัตฟอร์ด

นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 1 - 2 วัตฟอร์ด
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 1 - 2 วัตฟอร์ด
St. James' Park, Newcastle-upon-Tyne
ผู้ตัดสิน: R. East • ผู้ชม: 47806

10' Ighalo 0-1 // 28' Odion Ighalo 0-2 // 62' Daryl Janmaat 1-2

สวอนซี ซิตี้ 0 - 0 เอฟเวอร์ตัน

สวอนซี ซิตี้ 0 - 0 เอฟเวอร์ตัน
สวอนซี ซิตี้ 0 - 0 เอฟเวอร์ตัน
พรีเมียร์ลีก
19 กันยายน 2015 • 21:00 • ลิเบอร์ตี สเตเดียม, Swansea
ผู้ตัดสิน: S. Attwell • ผู้ชม: 20805

สโต๊ค ซิตี้ 2 - 2 เลสเตอร์ ซิตี้

สโต๊ค ซิตี้ 2 - 2 เลสเตอร์ ซิตี้
สโต๊ค ซิตี้ 2 - 2 เลสเตอร์ ซิตี้
พรีเมียร์ลีก
19 กันยายน 2015 • 21:00 • Britannia Stadium, Stoke-on-Trent, Staffordshire
ผู้ตัดสิน: A. Marriner • ผู้ชม: 27642


13' Bojan Krkic 1-0 // 20' Jonathan Walters 2-0 // 51' Riyad Mahrez (pen.) 2-1 // 69' Jamie Vardy 2-2

เชลซี 2 - 0 อาร์เซนอล

เชลซี 2 - 0 อาร์เซนอล
เชลซี 2 - 0 อาร์เซนอล
พรีเมียร์ลีก
19 กันยายน 2015 • 18:45 • Stamford Bridge, London
ผู้ตัดสิน: M. Dean • ผู้ชม: 41584

53' Zouma 1-0 // 90' Eden Hazard 2-0

เชลซี ของ โชเซ มูรินโญ คว้าชัยชนะ 2 เกมรวดต่อจาก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก หลังเปิดบ้านพัง อาร์เซนอล ที่เหลือ 9 คนในสนามไป 2-0 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา

เกมนี้ โชเซ มูรินโญ นายใหญ่ 'สิงโตน้ำเงินคราม' เชลซี ยังคงดร็อปกัปตันทีมอย่าง จอห์น เทอร์รี่ ไว้ที่ข้างสนาม และให้ แกรี่ เคฮิลล์ ยืนจับคู่กับ เคิร์ท ซูมา ในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง พร้อมกลับมาใช้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, เนมานยา มาติช, เปโดร โรดริเกซ และ ดิเอโก้ คอสต้า เป็นตัวจริงอีกครั้ง หลังได้พักในเกมยุโรปกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะที่ 'ปืนใหญ่' อาร์เซนอล ของกุนซือ อาร์แซน เวงเกอร์ ยังคงยึด 11 ผู้เล่นตัวจริงจากเกมลีกสัปดาห์ก่อน ที่เปิดบ้านเอาชนะ สโต๊ค ซิตี้ 2-0 นำโดย ปีเตอร์ เช็ค (ผู้รักษาประตู), โลร็องต์ กอสเซียลนี, เฮคเตอร์ เบเยลิน, ซานติ กาซอร์ลา, เมซุต โอซิล, อเล็กซิส ซานเซซ และหน้าเป้าเป็น ธีโอ วัลคอตต์

รูปเกมครึ่งแรก เป็นเจ้าบ้านที่ครองบอลบุกแทบจะฝ่ายเดียว แต่ไม่มีโอกาสลุ้นประตูเท่าที่ควร กระทั่งช่วงทดเวลาบาดเจ็บ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เมื่อ ดิเอโก้ คอสต้า ไปฮึดฮัดใส่ โลร็องต์ กอสเซียลนี ในกรอบเขตโทษของ อาร์เซนอล ทำให้ กาเบรียล เปาลิสต้า ต้องเข้ามาช่วยห้าม แต่กลายเป็นว่า คอสต้า กลับมามีเรื่องกับ เปาลิสต้า แทนก่อนผู้ตัดสินแจกใบเหลืองให้กับทั้งคู่

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เปาลิสต้า ถอยไปเหยียบเท้าของ คอสต้า ทำให้กองหน้าทีมชาติสเปนฟ้องผู้ตัดสินยกใหญ่ ทำให้เชิ๊ตดำไม่รอช้าควักใบแดงไล่ เปาลิสต้า ออกจากสนามทันที เล่นเอาแฟนปืนใหญ่ในสแตมฟอร์ด บริดจ์ งงกันไปตามๆกัน ก่อนจบ 45 นาทีแรกไปด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์ 0-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลัง อาร์แซน เวงเกอร์ ไม่รอช้าแก้เกมก่อนทันที โดยถอดเอา ฟรองซิส โกเกอแล็ง ออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง คาลัม แชมเบอร์ส ลงเล่นแทน โดยจะมายืนคู่กับ โลร็องต์ กอสเซียลนี ในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางแทนการขาดหายไปของ กาเบรียล เปาลิสต้า

แต่แล้วนาทีที่ 53 กลายเป็นเจ้าถิ่นที่มาได้ประตูออกนำไปก่อน จากจังหวะที่ เชสก์ ฟาเบรกาส เปิดฟรีคิกจากกลางสนามเข้าไปในลุ้นในกรอบเขตโทษให้ เคิร์ท ซูมา สอดขึ้นไปโหม่งกดลงพื้นคนเดียวโล่งๆ ส่งบอลหนีมือ ปีเตอร์ เช็ค เสียบเสาแรกเข้าไปตุงตาข่าย ช่วยให้เชลซีขึ้นนำ 1-0 พร้อมกับเป็นประตูแรกในพรีเมียร์ลีกของเจ้าตัวด้วย

จากนั้นนาทีที่ 59 อาร์เซนอล มีโอกาสลุ้นประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ อารอน แรมซีย์ โยนยาวจากกลางสนามเข้าไปในกรอบเขตโทษ และเป็น แกรี่ เคฮิลล์ ปล่อยบอลตกไปเข้าทาง อเล็กซิส ซานเซซ แปด้วยขวาไม่เต็มเท้า บอลหลุดเสาแรกออกไปอย่างน่าเสียดาย

แต่เเล้วนาทีที่ 79 สถานการณ์ของ อาร์เซนอล ต้องเลวร้ายหนักไปกว่าเก่า เมื่อมาเหลือผู้เล่นเพียง 9 คน จากจังหวะที่ ซานติ กาซอร์ลา ไปสไลค์เปิดปุ่มใส่ เชสก์ ฟาเบรกาส ทำให้ผู้ตัดสินไม่มีทางเลือกควักใบเหลืองให้กับ กาซอร์ลา และเป็นใบเหลืองที่สองกลายเป็นใบแดงถูกไล่ออกจากสนามทันที

กระทั่งนาทีแรกของช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แชมป์เก่ามาได้ประตูตอกฝาโลง จากจังหวะชุลมุนในกรอบเขตโทษ ก่อนบอลมาเข้าทาง เอเด็น อาซาร์ วางเท้ากดด้วยขวาแฉลบตัว คาลัม แชมเบอร์ส เปลี่ยนตัวเข้าประตูไป

จบเกม เชลซี เปิดบ้านเฉือนชนะ อาร์เซนอล ที่เหลือผู้เล่น 9 คนไป 2-0 เก็บชัยชนะเกมเหย้านัดแรกของฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับขยับขึ้นมารั้งอันดับ 10 ของตาราง มี 7 คะแนนจาก 6 นัด ส่วน อาร์เซนอล อยู่ที่ 4 ต่อไปตามเดิม มี 10 คะแนน

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เชลซี - แอสเมียร์ เบโกวิช, บรานิสลาฟ อิวาโนวิช, เคิร์ท ซูมา, แกรี เคฮิลล์, เซซาร์ อัสปิลิกูเอตา, เชส ฟาเบรกาส, ออสการ์, เอเดน ฮาซาร์ด, เปโดร โรดริเกวซ, เนมานยา มาติช, ดิเอโก กอสตา
อาร์เซนอล - ปีเตอร์ เช็ก, กาเบรียล เปาลิสตา, โลรองต์ กอสเซียลนี, นาโช มอนเรอัล, เฮ็คเตอร์ เบลเลริน, เมซุต โอซิล, อารอน แรมซีย์, อเล็กซิส ซานเชซ, ซานติ กาซอร์ลา,

เอเอฟซี บอร์นมัธ 2 - 0 ซันเดอร์แลนด์

เอเอฟซี บอร์นมัธ  2 - 0 ซันเดอร์แลนด์
เอเอฟซี บอร์นมัธ 2 - 0 ซันเดอร์แลนด์

พรีเมียร์ลีก
19 กันยายน 2015 • 21:00 • Vitality Stadium, Bournemouth, Dorset
ผู้ตัดสิน: K. Friend • ผู้ชม: 11271


4' Callum Wilson 1-0 // 9' Matt Ritchie 2-0

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 - 2 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 - 2 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 - 2 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
พรีเมียร์ลีก
19 กันยายน 2015 • 23:30 • Etihad Stadium, Manchester
ผู้ตัดสิน: R. Madley • ผู้ชม: 53545

6' Victor Moses 0-1 // 31' Diafra Sakho 0-2 //45' Kevin de Bruyne 1-2

แมนเชสเตอร์ ซิตี ถูกยัดเยียดความปราชัยนัดแรกต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง หลังถูก เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด บุกมาจม “เรือใบสีฟ้า” คาบ้าน 1-2 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ คืนวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา

มานูเอล เปเยกรินี กุนซือเจ้าบ้าน ที่เพิ่งจะแพ้ในนัดประเดิมสนามยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกต่อยูเวนตุส 1-2 เมื่อคืนวันพุธ ไม่สามารถใช้งานกองหลังกัปตันทีมอย่าง แว็งซองต์ กอมปานี ที่มีปัญหาบาดเจ็บได้ ทำให้ต้องส่ง นิโคลัส โอตาเมนดี้ ลงสนามแทน ด้านแนวรุกปรับมาใช้ เซร์คิโอ อเกวโร และ เควิน เดอ บรุนย์ ลงเป็นตัวจริงแทน วิลเฟรด โบนี กับ ซามีร์ นาสรี

ด้านทีมเยือนของ สลาเวน บิลิช มีข่าวดีคือได้ อาเดรียน ผู้รักษาประตูมือหนึ่งพ้นโทษแบนกลับมาเฝ้าเสาแทน ดาร์เรน แรนดอลฟ์ ตามเดิม แต่ก็ชวดใช้งาน อันเจโล อ็อกบอนนา กับ ชีควู คูยาเต้ ที่มีอาการบาดเจ็บ ทำให้เป็นโอกาสของ คาร์ล เจนกินสัน และ เปโดร โอเบียง ได้ลงเป็น 11 คนแรกแทน

เริ่มเกมได้เพียง 6 นาทีเท่านั้น กองเชียร์เรือใบสีฟ้าในเอติฮัด สเตเดี้ยมก็ต้องเงียบกริบ เมื่อเวสต์แฮมลูบคมพังประตูขึ้นนำ จากจังหวะที่ ดมิทรี ปาเยต์ ไหลบอลให้ วิคเตอร์ โมเสส ลากไปซัดด้วยขวา ส่งบอลเรียดเบียดเสาเข้าไปอย่างสวยงาม ช่วยให้ขุนค้อนบุกมานำ 1-0

หลังจากโดนนำแค่ 2 นาที ซิตี้เกือบจะตีเสมอได้อย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ เดอ บรุนย์ วางบอลยาวจากกราบซ้ายโดน อารอน เครสส์เวลล์ โหม่งสะกัดไม่ดีมาเข้าทาง กุน อเกวโร แตะหลบ อาเดรียน แต่กลับยิงหักข้อหลุดเสาออกไปอย่างน่าผิดหวัง

แต่แล้วในนาทีที่ 31 กลับเป็นทีมเยือนที่มาบวกลูกสองเพิ่มได้อีก จากลูกเตะมุมฝั่งขวาที่ ปาเยต์ เปิดให้ วินสตัน รีด โหม่งชงไปติด แฟร์นานดินโญ มาเข้าทาง โอเบียง จิ้มต่อให้ ดิยาฟรา ซาโก้ ตวัดยิงระยะเผาขนเข้าไปง่ายๆ ส่งให้เวสต์แฮมบุกมานำห่างเป็น 2-0

จากนั้นนาทีที่ 39 เจ้าบ้านเกือบตีไข่แตกได้ จากจังหวะที่ บาการี ซานญา จ่ายเรียดจากฝั่งขวาให้ อเกวโร พยายามไขว้ยิงกลับไปติดเซฟ อาเดรียน แม้ เอล กุน จะได้ซ้ำอีกครั้ง แต่ก็ยังโดนนายด่านชาวสเปนพุ่งปิดมุมตะครุบบอลไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม

จนกระทั่งช่วงทดเจ็บครึ่งแรก ซิตี้ก็มาตีไข่แตกจนได้ จากจังหวะที่ กุน อเกวโร ลากบอลหนีแนวรับขุนค้อนก่อนจะจ่ายให้ เดอ บรุนย์ จับด้วยซ้ายแล้วกดด้วยขวาบริเวณหัวกะโหลกเข้าไปอย่างเด็ดขาด ทำให้เรือใบสีฟ้าไล่มาเป็น 1-2 ก่อนจะจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังแม้ว่าซิตี้จะเป็นฝ่ายพับสนามบุกอย่างหนัก แต่ก็ไม่สามารถส่งบอลผ่านมือ อาเดรียน ที่โชว์ฟอร์มสุดเหนียวหนึบได้เลย ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นเวสต์แฮมที่บุกมาเอานะไปหวุดหวิด 2-1 เก็บเพิ่มเป็น 12 คะแนน แซงขึ้นรั้งรองจ่าฝูงชั่วคราว โดยตามหลังจ่าฝูงซึ่งก็คือซิตี้อยู่แค่ 3 แต้มเท่านั้น

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
แมนเชสเตอร์ ซิตี - โจ ฮาร์ท, บาการี ซานญา, อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ, เอเลกิม มองกาลา, นิโคลัส โอตาเมนดี, ราฮีม สเตอร์ลิง, เฆซุส นาบาส, เควิน เดอ บรุย์น, แฟร์นานดินโญ, ยายา ตูเร, เซร์คิโอ อกูเอโร
เวสต์ แฮม ยูไนเต็ด - อาเดรียน, วินสตัน รีด, อารอน เครสเวลล์, เจมส์ ทอมกินส์, คาร์ล เจนกินสัน, เปโดร เอ็มบา โอเบียง, มาร์ค โนเบิล, วิคเตอร์ โมเซส, ดิมิทรี ปาเยต, มานูเอล ลานซินี, ดิอาฟรา ซาโก

แอสตัน วิลลา 0 - 1 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน

แอสตัน วิลลา 0 - 1 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน
แอสตัน วิลลา 0 - 1 เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน
พรีเมียร์ลีก
19 กันยายน 2015 • 21:00 • Villa Park, Birmingham
ผู้ตัดสิน: ม. แอ็ตกินสัน • ผู้ชม: 36321

39' Saido Berahino 0-1

"โมเรโน" ดอดเยี่ยม "ชอว์" สำนึกผิดทำขาหัก

โมเรโน แวะเยี่ยม ชอว์ ที่โรงพยาบาล
เฮ็คเตอร์ โมเรโน เซ็นเตอร์ของ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน เป็นข่าวหอบช่อดอกไม้เข้ามาเยี่ยม ลุค ชอว์ กองหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่นอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลใน เนเธอร์แลนด์ส เพราะถูกเสียบในเกม ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก จนอีกฝ่ายถึงกับขาหักและพักเกือบครึ่งปี

กองหลังวัย 20 ปี ถูกหามส่งโรงพยาบาลเข้ารับการผ่าตัดด่วนหลังโดน โมเรโน สอยจนตัวลอยในเกมที่ "ผีแดง" บุกแพ้เจ้าบ้าน 1-2 โดยการรักษาเป็นไปด้วยดี ล่าสุดก็เพิ่งผ่าตัดอีกรอบ ทว่าก่อนผ่าแข้งจอมโหดได้แวะมาเยี่ยมเยียนพร้อมกับ ฟิลิปป์ โคคู กุนซือ พีเอสวี

เดอะ ซัน สื่อจอมแสของเมืองผู้ดี รายงานว่า ชอว์ เวลานี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เซนต์ แอนนา ในตัวเมือง ไอนด์โฮเฟน โดยแพทย์ระบุยังไม่อนุญาตให้กลับบ้านเนื่องจากอาการรุนแรงกว่าปกติ ขณะที่ดาวเตะทีมชาติเม็กซิโก มอบช่อดอกไม้พร้อมของที่ระลึกสำนึกผิด

นอกจากนี้ แนวรับ พีเอสวี ที่เคยขาหักมาก่อนในศึก ฟุตบอลโลก 2014 ที่ บราซิล ยังโพสต์ข้อความลง ทวิตเตอร์ ให้กำลังใจคู่กรณีว่า "อย่างแรกเลยผมอยากส่งความเข้มแข็งไปให้กับ ลุค ชอว์ ผมเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนและรู้ดีเลยว่าความรู้สึกเป็นอย่างไร ซึ่งผมหวังว่าเขาจะหายในเร็ววันและเจอกันอีกครั้งบนสนาม"

“ชอว์” เซ็งนอนผ่าขาหัก-ฟื้นสภาพที่แดนกังหัน

ลุค ชอว์
ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายผู้เคราะห์ร้ายของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายผู้เคราะห์ร้ายของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องนอนหงอยเหงาอยู่ที่ เนเธอร์แลนด์ ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ หลังเข้ารับการผ่าตัดรักษากระดูกขาขวาหักจากเกม ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ที่แพ้ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน 1-2 ก่อนเตรียมเข้ารับการทำกายภาพฟื้นฟูร่างกายต่อจากนี้

แข้งวัย 20 ปี โชคร้ายโดน เอคตอร์ โมเรโน กองหลัง พีเอสวี เข้าสอยจากด้านหลังถึงกับตัวลอย ก่อนลงมากระแทกพื้นกระดูกหักที่ขาขวา โดยหลังจากนั้นก็ถูกหามออกจากสนามและนำส่งโรงพยาบาล เซนต์ แอนนา ซีเคนฮุส ในตัวเมืองเพื่อเข้ารับการผ่าตัดโดยเร่งด่วน ก่อนทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดี

ชอว์ เวลานี้กำลังนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลดังกล่าวเพื่อฟื้นสภาพร่างกาย โดยมีกำหนดเดินทางกลับ อังกฤษ อีก 2 - 3 วันให้หลัง ซึ่งคาดว่าจากนี้เจ้าตัวจะได้แต่นั่งมองดูเพื่อนร่วมทีมวาดลวดลายอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 6 เดือนโดยประมาณ เนื่องจากอาการรุนแรงเกินปกติจะกลับมาได้เร็ว

โดยแข้งทีมชาติอังกฤษ กระดูกหัก 2 ท่อนบริเวณขาขวา ซึ่ง “ผีแดง” ก็ออกแถลงการณ์ระบุต้องพักยาวไปจนเกือบจบฤดูกาล อย่างไรก็ตาม หลังหายดีเจ้าตัวก็หวังเรียกความฟิตกลับมาให้เร็วที่สุด เพื่อลุ้นมีชื่อติดทัพ “สิงโตคำราม” ไปลุยรายการใหญ่ ยูโร 2016 ที่ ฝรั่งเศส หลังทีมของ รอย ฮอดจ์สัน เข้ารอบสุดท้ายแล้ว

พีเอสวี 2 - 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

พีเอสวี  2 - 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

พีเอสวี 2 - 1 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

UEFA CHAMPIONS LEAGUE
16 กันยายน 2015 • 1:45 • ฟิลลิปส์ สเตเดียม, Eindhoven
ผู้ตัดสิน: น. ริซโซลี่ • ผู้ชม: 35292


41' Memphis Depay 0-1 // 45' Hector Moreno 1-1 // 57' Luciano Narsinggh 2-1


แม้ปีศาจแดงจะขึ้นนำไปก่อน แต่สุดท้ายกลับเป็นพีเอสวีที่ยิงแซงสองลูกรวดพลิกกลับมาชนะไปหวุดหวิด ในเกมที่ ลุค ชอว์ โชคร้ายขาหักอย่างรุนแรง

ฟิลลิป โคคู กุนซือเจ้าบ้าน ยึด 11 คนแรกชุดเดิมจากเกมลีกเมื่อสุดสัปดาห์ซึ่งบุกไปถล่มเอสซี คัมบูร์ถึง 6-0 ลงเล่นทั้งหมด ในระบบ 4-3-3 โดยวาง ลูค เดอ ยอง ดาวยิงกัปตันทีมยืนเป็นหน้าเป้า พร้อมกับมีสองปีกตัวจี๊ดอย่าง ลูเซียโน นาร์ซิงก์ และ แม็กซิเม เลสไตน์เน ขนาบน้างคอยช่วยเกมรุกริมเส้นทั้งสองฝั่ง

ด้านทีมเยือนของ หลุยส์ ฟาน กัล ตัดสินใจให้โอกาส อ็องโตนี มาร์กซิยาล หอกดาวรุ่งค่าตัวแพงที่เพิ่งจะซัดประตูสุดสวยในเกมแดงเดือด ลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรก โดยจะประสานงานในแนวรุกร่วมกับ เมมฟิส เดปาย ที่ได้กลับมาเยือนถิ่นเก่าอีกครั้ง และสองมิดฟิลด์จอมเทคนิคอย่าง ฆวม มาต้า กับ แอชลีย์ ยัง

เริ่มเกมไปได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น แมนฯยูฯกลับต้องมาพบข่าวร้ายที่ไม่มีใครอยากเกิดขึ้น เมื่อ ลุค ชอว์ ไปปะทะ เอคตอร์ โมเรโน จนขาหักอย่างรุนแรง ทำให้ต้องรีบปฐมพยาบาลและหามออกจากสนามโดยด่วน ก่อนจะมีการเปลี่ยน มาร์กอส โรโฆ ลงมาเล่นแทน

จากนั้นเกมกลับมาสู้กันต่อหลังหยุดไปร่วม 10 นาที จนกระทั่งนาทีที่ 41 ปีศาจแดงก็มาพังประตูขึ้นนำ จากจังหวะที่ ดาลีย์ บลินด์ จ่ายเข้าเขตโทษให้ เดปาย ใช้ความสามารถเฉพาะตัวล็อคหนีแนวรับพีเอสวีก่อนจะซัดด้วยซ้ายเข้าไปอย่างเฉียบคม ช่วยให้ทีมเยือนบุกมานำ 1-0 และถือเป็นการยิงทีมเก่าของเจ้าตัวด้วย

แต่ในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก ทีมแชมป์ลีกดัตช์ก็มาตีเสมอได้สำเร็จ จากลูกเตะมุมฝั่งซ้ายที่ เลสไตน์เน เปิดให้ โมเรโน ขึ้นโขกไปแฉลบศีรษะของ มาต้า เปลี่ยนทางเข้าประตูไป ทำให้สกอร์กลับมาเท่ากันอีกครั้งที่ 1-1 และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ครึ่งหลังเกมกลับตาลปัตร เมื่อเป็นพีเอสวีที่พลิกขึ้นนำบ้าง ในนาทีที่ 57 จากจังหวะที่ อันเดรส กวาร์ดาโด้ หวดบอลจากกลางไปริมเส้นฝั่งซ้ายให้ เลสไตน์เน เปิดเร็วเข้ากลางให้ นาร์ซิงก์ โหม่งเต็มหัวเข้าไปอย่างเด็ดขาด ส่งให้เจ้าบ้านแซงนำ 2-1

หลังจากนั้น แม้ว่าแมนฯยูฯจะพยายามเปิดเกมบุกอย่างหนักเพื่อหวังตีเสมอให้ได้ แต่ก็กลับจบสกอร์กันไม่เฉียบคมเอง ทำให้สุดท้ายจบเกมเป็นพีเอสวี ไอนด์โฮเฟนที่เฉือนชนะไปหวุดหวิด 2-1 เก็บสามแต้มประเดิมศึกยูฟ่า แชมปเปี้ยนส์ ลีก 2015-2016 ได้สำเร็จ

ใช้เงินเกือบ 300 ล้านป. "ฟาน กัล" ไม่มั่นใจผีมีลุ้นถ้วยยุโรป

หลุยส์ ฟาน กัล นายใหญ่ "ผีแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมรับไม่มั่นใจว่าจะทำผลงานได้ดีในศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก หลังจากหายหน้าหายตาไป 1 ฤดูกาลเต็มๆ โดยระหว่างนั้นใช้เงินเสริมทัพมหาศาล

ฟาน กัล เสริมทัพเกือบ 300 ล้านปอนด์ (ประมาณ 16,500 ล้านบาท) ตลอดระยะเวลา 14 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดกำลังจะทำศึก ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก นัดแรก กลุ่ม บี เยือนถิ่น ฟิลิปส์ สตาดิโอน ของ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน วันอังคารที่ 15 กันยายนนี้

ก่อนเกม ฟาน กัล ที่เคยคุมทัพ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม คว้าถ้วยใบนี้เมื่อ 20 ปีก่อน กล่าวว่า "แฟนบอลจะได้เห็น แมนฯยู สู้เพื่อโอกาสที่มี เราพร้อมแสดงให้ทุกคนประจักษ์ในสนามว่าสามารถคว้าชัยในเกมระดับสูงได้หรือไม่ ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมากตอนนี้ แต่จะออกมาเป็นเช่นไรนั้นผมยังไม่ทราบคำตอบ คงต้องรอดูเพราะ แชมเปียนส์ ลีก มาตรฐานสูงกว่า พรีเมียร์ ลีก"

เกมนี้ แมนฯยู ไม่มี เวย์น รูนีย์ กองหน้ากัปตันทีมที่บาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง ทำให้ทุกคนใจจดจ่ออยากเห็น อองโตนี มาร์กซิยาล แข้งดีกรีทีมชาติฝรั่งเศส ออกสตาร์ท หลังเปิดตัวสุดหรูลงมาสำรองซัดฝังชัยเกม พรีเมียร์ ลีก เปิดบ้านชนะ ลิเวอร์พูล 3-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา

"คงต้องรอตัดสินใจหลังการฝึกซ้อม แต่ อองโตนี ทำได้น่าประทับใจ ตอนนี้ผมสามารถบอกได้แค่นี้ เขาเหมือนคนอื่นๆ ที่เราต้องให้เวลา ไม่ว่าค่าตัวจะมากแค่ไหนก็ตาม เพราะสิ่งนี้บางครั้งเราก็ควบคุมไม่ได้" กุนซือชาวดัตช์ ทิ้งท้าย

เลสเตอร์ ซิตี้ 3 - 2 แอสตัน วิลลา


เลสเตอร์ ซิตี้ 3 - 2 แอสตัน วิลลา

พรีเมียร์ลีก
13 กันยายน 2015 • 22:00 • King Power Stadium, Leicester, Leicestershire
ผู้ตัดสิน: M. Dean • ผู้ชม: 31733


39' Jack Grealish 0-1 // 64' Carles Gil 0-2 // 72' Ritchie De Laet 1-2 // 82' Jamie Vardy 2-2 // 89' Nathan Dyer 3-2

“จิ้งจอก” โกงตาย แซงดับวิลลา 3-2 ขึ้นรองฝูง เลสเตอร์ ซิตี้ โชว์ฟอร์มสุดโหดพลิกนรกจากตาม 2 ประตูกลับมาแซงชนะ แอสตัน วิลลา ไปแบบสุดมัน เก็บสามแต้มสำคัญ ทะยานขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูงเรียบร้อยแล้ว

เคลาดิโอ รานิเอรี กุนซือ เลสเตอร์ ซิตี ที่ยังไม่เคยพบความปราชัยตลอด 4 นัดแรก จัดทัพแบบเต็มสูบ วาง ชินจิ โอคาซากิ จับคู่ เจมี วาร์ดี ล่าตาข่าย โดยมีตัวทีเด็ดอย่าง ริยาด มาห์เรซ ขับเคลื่อนเกมรุกริมเส้น เผชิญหน้า แอสตัน วิลลา ซึ่งสะกดคำว่าชนะไม่เป็นมา 3 เกมรวด

เสียงนกหวีดดังขึ้นมา 8 นาที แอสตัน วิลลา หวิดขึ้นนำ โรเบิร์ต ฮูธ สกัดบอลไม่ขาด ทำให้ กาเบรียล อักบอนลาฮอร์ รับบอลจากเพื่อน หลุดเข้าเขตโทษด้านซ้าย ผ่านเรียดมาเสาสอง สกอตต์ ซินแคลร์ ชาร์จจ่อ ๆ ไม่ตรงกรอบ ทีมเยือน เริ่มบดหนักนาที 24 คาร์เลส กิล ไหลจากขวาเข้ากลาง แจ็ค เกรียลิช วิ่งมาแปเน้น ๆ ตรงตัว แคสเปอร์ ชไมเคิล นายทวาร

กองเชียร์ “สิงห์ผยอง” ส่งเสียงเฮลั่น นาที 39 บอลชุลมุนจากจังหวะเปิดเตะมุมกราบขวา ทะลักมาเข้าทาง แจ็ค เกรียลิช วิ่งมาปั่นไซด์โป้ง ระยะประมาณ 20 หลา แบบไม่จับ บอลโค้งหนีมือ แคสเปอร์ ชไมเคิล เสียบมุมขวามืออย่างสุดสวย ครบ 45 นาที แอสตัน วิลลา กุมความได้เปรียบ 1-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลัง เจ้าถิ่นชิงแก้เกมก่อนทันที โดยถอดเอา ชินจิ โอกาซากิ ออกไปพักที่ข้างสนาม แล้วจัดการส่ง นาธาน ดายเออร์ ปีกจอมพริ่วที่เพิ่งย้ายมาจาก สวอนซี ซิตี้ ในรูปแบบสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาลลงมาเล่นแทน

เปิดฉากครึ่งหลังมาได้เพียง 2 นาที เจ้าถิ่นเกือบมาได้ประตูตีเสมอ จากจังหวะที่ เจฟฟรี่ ชลูปป์ กระชากเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายดื้อๆ ก่อนปาดเลียดเข้ากลางให้ เจมี วาร์ดี้ ไขว้ยิงอย่างเหนือชั้น แต่บอลไม่เข้าเป้าเฉี่ยวเสาแรกออกหลังไปนิดเดียว

แต่แล้วนาทีที่ 63 กลายเป็น วิลลา ที่มาขยับสกอร์หนีห่างเป็น 2-0 จากจังหวะที่ กาเบรียล อั๊กบอนลาฮอร์ ลากจากกลางสนามขึ้นมาทางริมเส้นฝั่งซ้าย ก่อนไหลไปตรงจุดนัดพบบริเวณหัวกระโหลกให้ การ์เลส กิล วิ่งมาปั่นด้วยซ้ายเน้นๆ ส่งบอลโค้งหนีมือ คาสเปอร์ ชไมเคิล เสียบเสาแรกเข้าไปอย่างสวยงาม พร้อมกับเป็นประตูแรกในพรีเมียร์ลีกของเจ้าหนูกิลเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เจ้าบ้านไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อมาได้ประตูตีไข่แตก ในนาทีที่ 72 จากจังหวะที่ ริยาด มาห์เรซ เปิดลูกเตะมุมทางฝั่งซ้ายเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ให้ ริทชี เด ลาเอต์ โฉบสะกิดเปลี่ยทางตรงเสาแรก บอลย้ายข้ามเส้นไปแล้วแม้ แอชลีย์ เวสต์วูด จะโหม่งสกัดชนคานออกมาได้ แต่เทคโนโลยีโกลไลน์ขึ้นเป็นประตูให้กับเจ้าบ้าน
"ดายเออร์" โหม่งตีเสมอแบบเอาตัวเข้าแลก

ก่อนหมดเวลา 1 นาที “เดอะ ฟ็อกซ์” แซงนำอย่างเหลือเชื่อ ริยาด มาห์เรซ ตักบอลโด่งเจาะตรงกลาง นาธาน ดายเออร์ ถึงก่อนโหม่งตัดหน้า แบรด กูซาน นายทวาร ซุกก้นตาข่าย จบเกม เลสเตอร์ ซิตี เอาชนะไป 3-2 เก็บเพิ่มเป็น 11 แต้ม จาก 5 นัด ยังเป็นทีมเดียวที่ยังไม่แพ้ใครซีซันนี้คู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี จ่าฝูง

รายชื่อ 11 ตัวจริง
เลสเตอร์ : แคสเปอร์ ชไมเคิล , ริตชี เดอ แลต , เวส มอร์แกน , โรเบิร์ต ฮูธ , เจฟเฟอรีย์ ชลุปป์ , แดเนียล ดริงค์วอเตอร์ , มาร์ค อัลไบรจ์ตัน , ริยาด มาห์เรซ , โกคาน อินเลอร์ , เจมี วาร์ดี , ชินจิ โอคาซากิ
แอสตัน วิลลา : แบรด กูซาน , ไมกาห์ ริชาร์ดส , เลอันโดร บากูนา , โจลีออน เลสคอตต์ , จอร์แดน อมาวี , สกอตต์ ซินแคลร์ , แอชลีย์ เวสต์วูด , คาร์ลอส ซานเชซ , คาร์เลส กิล , แจ็ค เกรียลิช , กาเบรียล อักบอนลาฮอร์

ซันเดอร์แลนด์ 0 - 1 ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส

ซันเดอร์แลนด์ 0 - 1 ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส

ซันเดอร์แลนด์ 0 - 1 ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส
พรีเมียร์ลีก
13 กันยายน 2015 • 19:30 • Stadium of Light, Sunderland
ผู้ตัดสิน: C. Pawson • ผู้ชม: 40303


82' Ryan Mason 0-1

ห้องเครื่องทีมชาติอังกฤษสวมบทฮีโร่กดประตูโทนพาสเปอร์สบุกเฉือนชนะซันเดอร์แลนด์ไปแบบหืดจับ พร้อมกับเป็นชัยชนะนัดแรกของฤดูกาลนี้

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำสัปดาห์ที่ 5 ที่สนามสเตเดียม ออฟ ไลท์ ระหว่าง ซันเดอร์แลนด์ ก่อนเกมรั้งอันดับ 19 ของตาราง เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ส ก่อนเกมรั้งอันดับ 17 ของตาราง

"ไก่เดือยทอง" ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เก็บชัยนัดแรกของ ศึก พรีเมียร์ ลีก ฤดูกาล 2015-16 เชือด "แมวดำ" ซันเดอร์แลนด์ ถึงถิ่น สเตเดียม ออฟ ไลท์ จากประตูโทนของ ไรอัน เมสัน เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา

ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
ซันเดอร์แลนด์ 0-1 สเปอร์ส


เมาริซิโอ โปเชตติโน กุนซือ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ขาดตัวหลักอย่าง คริสเตียน อีริกเซน กับ มุสซา เดมเบเล ปั้นเกมแดนกลาง แต่ได้ ซอน ฮอง มิน ศูนย์หน้าป้ายแดง ประสานงาน เนเซอร์ แชดลี และ แฮร์รี เคน ดาวยิงความหวัง ล่าตาข่าย รับมือ ซันเดอร์แลนด์ ที่จัดเต็ม วาง ฟาบิโอ บอรินี , เจเรเมน เลนส์ และ เจอร์เมน เดโฟ เป็น 3 แนวรุก

เสียงนกหวีดดังขึ้น เกมผลัดกันรุกและรับ ทั้งคู่สร้างโอกาสลุ้นประตูช่วงต้นจากการส่องไกล แต่ยังไม่ใกล้เคียง จนถึงนาที 25 ซันเดอร์แลนด์ ที่อาศัยเกมโต้กลับป่วนคู่แข่งได้ดีกว่า น่าขึ้นนำแบบสุดๆ เจเรเมน เลนส์ แทงทะลุตรงกลางให้ เจอร์เมน เดโฟ หลุดมาล่อเป้ากับ ฮูโก โยริส นายทวาร ก่อนซัดชนเสาซ้ายมือ

เจ้าถิ่น ยังได้เสียวอีกครั้งนาที 39 ยานน์ เอ็มวีลา แทงทะลุมาทางเขตโทษด้านขวา เจอร์เมน เดโฟ อาศัยเหลี่ยมที่ดีกว่าพิง โทบี ไอเดอร์ไวเรลด์ แล้วกลับตัวยิงด้วยเท้าซ้าย ตรงตัว ฮูโก โยริส ครบ 45 นาที สกอร์ยังเท่ากัน 0-0

ลุยต่อครึ่งหลัง "แมวดำ" ยังอันตรายจากการเล่นฉาบฉวย นาที 58 เจอร์เมน เดโฟ เก็บบอลกลางสนาม ไหลมาทางที่ว่างด้านซ้าย เจเรเมน เลนส์ ทะลุเข้าเขตโทษ ตะบันด้วยขวา ฮูโก โยริส ยังป้องกันได้

บดอยู่นาน ความพยายามของ ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ สัมฤทธิ์ผลนาที 82 เอริค ลาเมลา ตัวสำรอง จ่ายทะลุช่องให้ ไรอัน เมสัน เติมจากแถวสอง ยิงนิ่มๆ สวน คอสเทล พานติลิมอน นายทวาร ซุกก้นตาข่าย และเกือบฝังนาที 86 แฮร์รี เคน รับบอลตรงเขตโทษด้านขวา ตะบันแบบเหน่งๆ ติดเซฟ พานติลิมอน จบเกม สเปอร์ส เอาชนะไป 1-0 เก็บเพิ่มเป็น 6 แต้ม จาก 5 นัด

รายชื่อ 11 ตัวจริง
ซันเดอร์แลนด์ : คอสเทล พานติลิมอน , บิลลี โจนส์ , แพทริค ฟาน อานโฮลท์ , ยูเนส คาบูล , จอห์น โอ'เชีย , ฆอร์ดี โกเมซ , โอลา ตอยโวเนน , ยานน์ เอ็มวีลา , ฟาบิโอ บอรินี , เจเรเมน เลนส์ , เจอร์เมน เดโฟ
สเปอร์ส : ฮูโก ยอริส , ไคล์ วอล์คเกอร์ , โทบี ไอเดอร์ไวเรลด์ , แยน แฟร์ตองเกน , เบน เดวิส , ซอง ฮอง มิน , ไรอัน เมสัน , เอริค ไดเออร์ , เดเล อัลลี , เนเซอร์ แชดลี , แฮร์รี เคน

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 1 ลิเวอร์พูล

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 1 ลิเวอร์พูล

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3 - 1 ลิเวอร์พูล
พรีเมียร์ลีก
12 กันยายน 2015 • 23:30 • Old Trafford, Manchester
ผู้ตัดสิน: M. Oliver • ผู้ชม: 75347

49' Daley Blind 1-0 // 70' Ander Herrera (pen.) 2-0 // 84' Christian Benteke 2-1 // 86' Anthony Martial 3-1


อองโตนี มาร์กซิยาล ศูนย์หน้าป้ายแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประเดิมสนาม ซัดประตูตอกฝาโลงดับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล 3-1 ศึก พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา

ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1 ลิเวอร์พูล


หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เรียก ดาบิด เด เคอา นายทวารหมายเลข 1 ที่เพิ่งต่อสัญญา กลับมาเฝ้าเสาเกมแรกของฤดูกาล 2015-16 แต่ขาด เวย์น รูนีย์ กัปตันทีม ต้องพึ่งพา มารูยาน เฟลไลนี รับบทหัวหอกจำเป็น ประสานงาน เมมฟิส เดปาย กับ ฆวน มาตา ล่าตาข่าย รับมือ ลิเวอร์พูล ซึ่งขน คริสเตียน เบนเตเก, แดนนี อิงส์ และ โรแบร์โต เฟอร์มิโน เป็น 3 ตัวรุก

เสียงนกหวีดดังขึ้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เล่นแบบระวังตัว ก่อนได้โอกาสจากลูกส้มหล่นนาทีที่ 7 ซิมง มิโยเลต์ นายทวาร ขว้างบอลติดส้นเท้า ฆวน มาตา กระดอนมาถึง มารูยาน เฟลไลนี ชิปสวนทันที แต่โด่งเกินไป รูปเกมยังเป็น เจ้าถิ่น ที่ตั้งเกมบุกใส่แบบไม่ผลีผลาม ขณะที่ ลิเวอร์พูล รอจังหวะโต้กลับ ทว่าขาดความแม่นยำ ครบ 45 นาที เสมอกันแบบจืดชืด 0-0

เข้าสู่ครึ่งหลังเจ้าบ้านตัดสินใจแก้เกมทันที ด้วยการเปลี่ยนตัวสำรองคนแรกส่ง แอชลีย์ ยัง ลงมาแทน เมมฟิส เดปาย ที่โชว์ฟอร์มไม่ออก

จนกระทั่งนาทีที่ 49 ปีศาจแดงก็มาได้ประตูขึ้นนำ จากลูกฟรีคิกทางกราบซ้ายที่ มาต้า เล่นลูกสูตรจ่ายเรียดไปแถวสองให้ ดาลีย์ บลินด์ แปเน้นๆด้วยซ้ายเข้าไปตุงตาข่ายอย่างสวยงาม ส่งให้เจ้าบ้านออกนำ 1-0

ทีมจากย่านเมอร์ซีย์ไซด์ พลาดโอกาสทองนาที 65 มาร์ติน สเคอร์เทล โหม่งเช็ดลูกเตะมุมกราบซ้ายของ เจมส์ มิลเนอร์ บอลขลุกขลิกกำลังจะข้ามเส้นประตู เดลีย์ บลินด์ ขวางไว้ทัน ถัดมา 5 นาที กลายเป็น “ปิศาจแดง” บวกสกอร์เพิ่ม โจ โกเมซ พุ่งเสียบ อันเดร์ เฮร์เรรา ล้มลง ผู้ตัดสินเป่าจุดโทษ แล้วลุกมาสังหารเองไม่พลาดช่วยให้ปีศาจแดงหนีห่างเป็น 2-0

จากนั้นนาทีที่ 75 ทีมเยือนเกือบตีไข่แตกได้ จากจังหวะที่ เอ็มเร ชาน เคาะบอลไปสุดเส้นหลังให้ มิลเนอร์ เปิดเข้ากลางให้ เบนเทเก้ ขึ้นโหม่งแต่บอลก็ยังข้ามคานออกไปอีกอย่างน่าเสียดาย

ท้ายเกมนาทีที่ 83 ลิเวอร์พูลมีโอกาสอีกหน จากจังหวะที่ ไอบ์ ลากตัดเข้าในจากฝั่งขวา ก่อนจะกดด้วยซ้ายเต็มข้อ แต่ยังโดน เด เฮอา พุ่งปัดทิ้งออกไปได้อย่างยอดเยี่ยม

แต่แล้วในนาทีที่ 84 หงส์แดงก็สามารถตีไข่แตกจนได้ จากจังหวะที่ ไคลน์ โยนบอลจากกราบขวาเข้ากลางก่อนจะโดนแนวรับปีศาจแดงโหม่งสะกัดมาเข้าทาง เบนเทเก้ กระโดดยิงแบบจักรยานอากาศเข้าไปอย่างสวยงาม ช่วยให้ทีมเยือนไล่มาเป็น 1-2

ทีมเยือนดีใจอยู่แค่ 2 นาที ยูไนเต็ด ตอกฝาโลงสนิท อองโตนี มาร์กซิยาล โยกหนี มาร์ติน สเคอร์เทล หลุดเข้าเขตโทษด้านซ้าย แปเสียบเสาไกล จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะไป 3-1 เก็บเพิ่มเป็น 10 คะแนน แซงขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูง ส่วนลิเวอร์พูลอยู่อันดับ 9 มี 7 แต้มเท่าเดิม

รายชื่อ 11 ตัวจริง
แมนฯ ยูไนเต็ด : ดาบิด เด เคอา , คริส สมอลลิง , เดลีย์ บลินด์ , ลุค ชอว์ , มัตเตโอ ดาร์เมียน , เมมฟิส เดปาย , ฆวน มาตา , ไมเคิล คาร์ริค , อันเดร์ เฮร์เรรา , บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ , มารูยาน เฟลไลนี
ลิเวอร์พูล : ซิมง มิโญเลต์ , นาธาเนียล ไคลน์ , เดยัน ลอฟเรน , โจ โกเมซ , มาร์ติน สเคอร์เทล , เจมส์ มิลเนอร์ , ลูคัส เลวา , เอ็มเร คาน , คริสเตียน เบนเทโก , โรแบร์โต เฟอร์มิโน , แดนนี อิงส์

เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 0 - 0 เซาแธมป์ตัน

เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน  0 - 0 เซาแธมป์ตัน

เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน  0 - 0 เซาแธมป์ตัน

พรีเมียร์ลีก
12 กันยายน 2015 • 21:00 • The Hawthorns, West Bromwich
ผู้ตัดสิน: S. Attwell • ผู้ชม: 24265

อาร์เซนอล 2 - 0 สโต๊ค ซิตี้

อาร์เซนอล  2 - 0 สโต๊ค ซิตี้
อาร์เซนอล 2 - 0 สโต๊ค ซิตี้
พรีเมียร์ลีก
12 กันยายน 2015 • 21:00 • Emirates Stadium, London
ผู้ตัดสิน: J. Moss • ผู้ชม: 59963

31' Theo Walcott 1-0 // 85' Olivier Giroud 2-0

อาร์เซนอล 2 - 0 สโต๊ค ซิตี้
อาร์เซนอลเก็บสามแต้มแรกในบ้านได้เสียที หลังบดเอาชนะ สโต๊ค ซิตี้ ไป 2-0 จากการทำคนละประตูของสองกองหน้าประจำทีมอย่าง ธีโอ วัลคอตต์ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์

การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำสัปดาห์ที่ 5 ที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดียม ระหว่าง อาร์เซนอล ก่อนเกมรั้งอันดับ 6 ของตาราง เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ สโต๊ค ซิตี้ ก่อนเกมรั้งอันดับ 18 ของตาราง

อาร์แซน เวงเกอร์ เทรนเนอร์ 'ไอ้ปืนใหญ่' อาร์เซนอล หมดสิทธิ์ใช้งาน แพร์ แมร์เตซัคเกอร์ เซ็นเตอร์ฮาร์ฟกัปตันทีมที่มีอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้ กาเบรียล เปาลิสต้า ยังได้ออกสตารท์เป็นตัวจริงคู่กับ โลร็องต์ กอสเซียลนี พร้อมกับมีข่าวดีเมื่อได้ เมซุต โอซิล ฟิตกลับมาเป็นจอมทัพอีกครั้ง โดยหน้าเป้าเลือกใช้ ธีโอ วัลคอตต์ ไล่ล่าตาข่ายอีกเช่นเคย

ขณะที่ 'ช่างปั้นหม้อ' สโต๊ค ซิตี้ ของกุนซือ มาร์ค ฮิวจ์ส หมดสิทธิ์ใช้งานสองแนวรุกตัวสำคัญอย่าง ชาร์ลี อดัม และ อับราฮิม อเฟลลาย ที่ติดโทษแบนจากการโดนใบแดงในเกมเปิดบ้านพ่าย เวสบรอมฯ 0-1 เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ทำให้ มารโก อาร์เนาโตวิช กับ โฆเซลู ได้โอกาสลงมาเล่นแทน พร้อมถอย มาเม่ บิรัม ดิยุฟ ลงมาเล่นในตำแหน่งหน้าต่ำ และให้ โฆเซลู ขึ้นไปยืนเป็นหน้าเป้า

เปิดฉากมาได้เพียง 2 นาที เจ้าบ้านหาโอกาสทักทายก่อนทันที จากจังหวะที่ ซานติ กาซอร์ลา พลิกหนีตัวประกบบริเวณกราบขวา ก่อนตักหยอดด้วยซ้ายเข้าไปในเขตโทษให้ อเล็กซิส ซานเซซ โถมโหม่งสะบัดยัดเสาแรก แต่ว่า แจ็ค บัตแลนด์ โชว์เซฟด้วยการพุ่งปัดปลายมือไปชนเสา บอลไม่พ้นอันตรายกระดอนออกมาเข้าทาง ธีโอ วัลคอตต์ ซ้ำจ่อๆออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 5 อาร์เซนอลได้โอกาสลุ้นประตูอีกครั้ง จากลูกฟรีคิกระยะประมาณ 30 หลาเยื้องมาทางฝั่งซ้าย และเป็น อเล็กซิส ซานเซซ รับหน้าที่ปั่นด้วยขวาเต็มข้อ ทิศทางบอลกำลังจะพุ่งเสียบเสาแรกอยู่แล้ว แต่ แจ็ค บัตแลนด์ ยังปฏิกิยาไวพุ่งปัดออกหลังไปได้อย่างหวุดหวิด

ถัดมาเพียง 2 นาที่ เจ้าถิ่นน่าได้ประตูออกนไปก่อนำเสียจริงๆ จากลูกที่ ฟรองซิส โกเกอแล็ง ไหลขึ้นหน้าไปทางฝั่งซ้ายหน้าเขตโทษให้ อเล็กซิส ซานเซซ จังแต่งเข้าขวาข้างถนัด ก่อนบรรจงแปเลียดด้วยขวาเน้นๆ ผ่านมือ แจ็ค บัตแลนด์ ไปแล้ว แต่น่าเสียดายบอลเจ้ากรรมดันพุ่งไปชนเสาไกลอย่างจัง

กระทั่งนาทีที่ 31 เจ้าถิ่นมาทำประตูออกนำไปก่อนจนได้ จากจังหวะที่ เมซุต โอซิล บรรจงวางบอลยาวจากแดนตัวเองไปให้ ธีโอ วัลคอตต์ ดูดบอลแต่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนแปด้วยขวา ส่งบอลไหลลอดขา แจ็ค บัตแลนด์ เข้าไปนอนจมก้นตาข่าย ช่วยให้อาร์เซนอลขึ้นนำ 1-0

ถัดมา 2 นาที ทีมเยือนเริ่มมีโอกาสเปิดฉากทักทายบ้าง จากจังหวะที่ มารโก อาร์เนาโตวิช กระดกบอลจากกราบซ้ายเข้ากลางให้ โฆเซลู วางเท้าฮาร์ฟวอลเลย์ด้วยขวาเน้นๆจากระยะประมาณ 30 หลา บอลพุ่งตรงตัว ปีเตอร์ เช็ก รับซองแตก แต่ยังดีที่ มาเม่ บิรัม ดิยุฟ ซ้ำดาบสองไม่ได้ลุ้นอะไร

จากนั้นรูปเกมยังเป็นเจ้าบ้านที่ขึงเกมบุกอยู่ข้างเดียว แต่ไม่สามารถพาบอลผ่านมือ แจ็ค บัตแลนด์ เป็นครั้งที่สองได้ ทำให้จบ 45 นาทีแรก อาร์เซนอล รักษาสกอร์นำอยู่ที่ 1-0

กลับมาเล่นในครึ่งหลังยังเป็น อาร์เซนอล ที่ขึงเกมบุกไว้ได้อีกเช่นเคย แต่จังหวะสุดท้ายไม่เฉียบคมพอ ทำให้เพียงแค่ยิงเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา กระทั่งนาทีที่ 68 พวกเขาได้ประตูที่สอง จากจังหวะที่ เมซุต โอซิล ทำชิ่งกับ ซานติ กาซอร์ลา จนหลุดเดี่ยวเข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนพยายามยิงยัดเสาแรก แต่ว่า แจ็ค บัตแลนด์ ยืนปิดมุมดีใช้ขาเซฟออกไปได้อย่างยอดเยี่ยม

นาทีที่ 76 อาร์เซนอลพลาดโอกาสทองในการได้ประตูหนีห่างอย่างเหลือเชื่อ เมื่อแนวรับ สโต๊ค ซิตี้ เคลียร์สกัดบอลไม่ดี ทำให้ส้มหล่นไปเข้าทาง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ตัวสำรองในกรอบเขตโทษโล่งๆ ทว่ากองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสกลับตวัดเลียดหลุดเสาไกลออกไปอย่างน่าตาเฉย

อย่างไรก็ตาม ท้ายเกมนาทีที่ 85 โอลิวิเยร์ ชิรูด์ มาแก้ตัวจนได้ จากจังหวะที่ ซานติ กาซอร์ลา เปิดฟรีคิกจากริมเส้นฝั่งซ้ายเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ ชิรูด์ ยืนตั้งหัวโหม่งเน้นๆเต็มศรีษะ ส่งบอลพุ่งเบียดเสาแรกเข้าไปไม่เหลือ

จบเกม อาร์เซนอล เปิดบ้านเอาชนะ สโต๊ค ซิตี้ ไปได้แบบไม่ยากเย็น 2-0 คว้าชัยชนะในบ้านนัดแรกของฤดูกาลนี้ พร้อมกับเก็บเพิ่มเป็น 10 คะแนนจาก 5 นัด โดยมีคะแนนตามหลังจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 5 คะแนน

วัตฟอร์ด 1 - 0 สวอนซี ซิตี้


วัตฟอร์ด  1 - 0 สวอนซี ซิตี้
วัตฟอร์ด 1 - 0 สวอนซี ซิตี้

พรีเมียร์ลีก
12 กันยายน 2015 • 21:00 • Vicarage Road Stadium, Watford
ผู้ตัดสิน: R. Madley • ผู้ชม: 20057


59' Odion Ighalo

นอริช ซิตี้ 3 - 1 เอเอฟซี บอร์นมัธ

นอริช ซิตี้  3 - 1 เอเอฟซี บอร์นมัธ
นอริช ซิตี้ 3 - 1 เอเอฟซี บอร์นมัธ
พรีเมียร์ลีก
12 กันยายน 2015 • 21:00 • Carrow Road, Norwich, Norfolk
ผู้ตัดสิน: ม. แอ็ตกินสัน • ผู้ชม: 27018


35' Cameron Jerome 1-0 // 52' Wesley Hoolahan 2-0 // 67' Matt Jarvis 3-0 // 81' Steve Cook 3-1

คริสตัล พาเลซ 0 - 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

คริสตัล พาเลซ  0 - 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
คริสตัล พาเลซ 0 - 1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้
พรีเมียร์ลีก
12 กันยายน 2015 • 21:00 • Selhurst Park, London
ผู้ตัดสิน: M. Jones • ผู้ชม: 25167

90' Kelechi Iheanacho

“เรือใบ” บดพาเลซหวิว ชนะ 5 เกมรวด

ทีมจ่าฝูงยังคงเก็บชัยชนะต่อเนื่องตั้งแต่เปิดฤดูกาล ด้วยการบุกไปซิวชัยแบบเฉียดฉิวจาก คริสตัล พาเลซ

เกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษนัดที่ 5 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมจ่าฝูงที่นำโด่งอยู่ด้วย 12 คะแนน บุกเยือนเซลเฮิร์สต์ พาร์ค ของคริสตัล พาเลซ ออกสตาร์ทฤดูกาลอย่างสวยหรูและอยู่ในอันดับที่สองของตาราง

เจ้าถิ่นมีตัวเลือกไม่มากนักและยังคงส่งผู้เล่นความหวังอย่าง โยฮัน กาบาย พร้อมด้วยแดนหน้าอย่าง เจสัน พันเชียน, วินฟรีด ซาฮา, ยานนิค โบลาซี และ บาคารี ซาโก

ในขณะที่ทางฝั่งทีมเยือน เลือกใช้งาน เซร์คิโอ อเกวโร จับคู่กับ วิลเฟรด โบนี พร้อมด้วย ยาย่า ตูเร และ แว็งซองต์ กอมปานี ส่วน เควิน เดอ บรุนย์ มีชื่อเป็นตัวสำรอง

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นฝ่ายเขี่ยบอลเริ่มเล่น แต่ปราสาทเรือนแก้วเจ้าถิ่นได้ทักทายก่อนจากเกมโต้กลับ บอลยาวออกมาทางขวาถึงยานนิค โบลาซี ลากบอลเข้ากรอบเขตโทษไปยิงเอง แต่บอลไม่ตรงกรอบ

นาทีที่ 2 คริสตัล พาเลซ ได้เตะมุมเป็นครั้งแรก แม้จะเบิกสกอร์ไม่ได้ แต่ยังคงได้บุกกดดันอย่างต่อเนื่องชนิดได้ใจแฟนบอลเจ้าบ้าน

นาทีที่ 4 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำเกมขึ้นมาบ้าง นาบาส ครองบอลอยู่ที่นอกกรอบฝั่งขวา ก่อนเปิดเข้ากลาง วินเฟรด โบนี สะบัดหัวโขกตรงตัว อเล็กซ์ แม็คคาร์ธีย์

นาทีที่ 6 ยานนิค โบลาซี ติดสปีดเข้าหาประตูทีมเยือนอีกครั้งก่อนสับไกยิงมุมแคบ โจ ฮาร์ท เซฟไว้ได้อยู่มือ

ผ่าน 10 นาทีพาเลซยังกดดันทีมเยือนอย่างหนัก ซาฮา เรียกฟรีคิกได้ที่ฝั่งซ้ายนอกกรอบเขตโทษ แนวรับเรือใบเคลียร์ออกมาแต่ยังไม่พ้นอันตราย ซูอาเร ของคริสตัล พาเลซ ได้ลองยิง เฉียดเสาออกไปแบบได้ลุ้น

แมนฯ ซิตี้ ยังคงตั้งเกมไม่ได้ และมีโอกาสได้บุกน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด เกมส่วนใหญ่อยู่ในแดนของทีมเยือน

นาทีที่ 18 เกมต้องชะงักไปเล็กน้อย สก็อตต์ แดนน์ รับใบเหลืองจากการเข้าไปสกัดอันตราย อเกวโร ล้มลงและนอนอยู่กับพื้นสนามราว 2 นาที

กลับมาเล่นต่อได้ไม่ถึง 3 นาที อเกวโร ทดอาการบาดเจ็บไม่ไหวต้องเปลี่ยนตัว เควิน เดอ บรุนย์ ลงมาเล่นแทนในนาทีที่ 25

นาทีที่ 29 พาเลซ ยังเดินหน้าสร้างโอกาสในเกมรุกได้ไม่หยุด เจสัน พันเชียน วางบอลยาวไปถึงหน้ากรอบเขตโทษของทีมเรือใบสีฟ้า แต่ ซาฮา วิ่งตามไปไม่ทัน

นาทีที่ 32 เรือใบสีฟ้ามีจังหวะใกล้เคียงให้เห็นอีกครั้ง เดอ บรุนย์ ต่อบอลให้ โบนี ยิงติด แม็คคาร์ธีย์ นาสรี เข้ามาซ้ำก็ยังโดนแผงหลังบล็อคไว้ได้

5 นาทีท้ายครึ่งแรก จังหวะของเกมเริ่มช้าลง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เริ่มทำเกมขึ้นมาได้มากขึ้น แต่ยังไม่สามารถกดดันเจ้าถิ่นได้มากนัก

ช่วงทดเวลา ทีมเยือนหวังชิงความได้เปรียบก่อนเสียงนกหวีด เดอ บรุนย์ ได้ลองยิง ไปตรงตัวนายประตูเจ้าถิ่น

ถัดมาเพียงนาทีเดียว พาเลซสวนกลับมาบุก และเกือบจบสกอร์ได้จากบอลโยนทางฝั่งขวา แต่ซาโก้ ยิงหลุดกรอบไปไกล จบครึ่งแรกทั้งสองทีมเสมอกันอยู่ 0-0

กลับมาที่ครึ่งหลังช่วงแรกเป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เริ่มตั้งเกมได้ดีขึ้นและครองบอลมากกว่า แต่ยังเจาะเข้าพื้นที่อันตรายไม่ได้

นาทีที่ 49 นาสรี พาบอลไปสุดเส้นหลัง ก่อนเคาะกลับมาให้ โคราลอฟ ยิงยังไม่ตรงกรอบ

นาทีต่อมา พาเลซเล่นเกมโต้กลับมาและมีโอกาสเข้าทำทันที พันเชียน จ่ายต่อให้ โบลาซี ยิงผ่านปากประตูแบบกึ่งผ่าน หลุดเสาสองออกไป

นาทีที่ 50 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลาดโอกาสออกนำอย่างเหลือเชื่อจากเกมโต้กลับเร็ว เดอ บรุนย์ จ่ายให้ นาบาส หลุดเดี่ยวไปดวลกับ แม็คคาร์ธีย์ ก่อนจะล็อคหลบนายทวารเจ้าถิ่นไปแล้ว เหลือแต่ประตูโล่ง แต่ยิงหลุดเสาแรกไปแบบน่าเสียดาย

ครบหนึ่งชั่วโมงยังคงเป็นปราสาทเรือนแก้วที่รูปเกมดีกว่า แต่ทางฝั่งทีมเรือใบสีฟ้าเองก็มีโอกาสบุกได้มากกว่าในครึ่งแรกเล็กน้อย

นาทีที่ 64 แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสเข้าทำอย่างเร็ว แฟร์นันดินโญ ทำชิ่งกับ โบนี ก่อนได้สับไกแต่บอลข้ามคาน

สองนาทีถัดมา นาสรี ลองลากมาเองแล้วสับไกบ้างด้วยเท้าซ้าย บอลยังคงข้ามคานไปอีกครั้ง

นาทีที่ 69 คริสตัล พาเลซ เรียกเสียงฮือฮา จากลูกเปิดของ ซูอาเร ลงที่ตำแหน่งของ พันเชียน โหม่งเน้นให้ โจ ฮาร์ท ต้องออกแรงซูเปอร์เซฟ

นาทีที่ 73 แมนฯซิตี้ พยายามหาโอกาสจบสกอร์อีกครั้ง ตูเร ต่อบอลให้ โบนี เตะพักบอลให้ ตูเร วิ่งตามมายิงแต่ยังไม่คมพอบอลหลุดกรอบออกไป

นาทีที่ 76 ตูเร ตัดบอลได้ ก่อนจ่ายให้ โบนี ออกบอลต่อไปทางริมเส้นฝั่งซ้ายให้ เดอ บุรนย์ เปิดลึกเลยหน้าประตูหลุดออกเส้นหลังไปทางเสาไกล

แมนฯซิตี้ ได้ฟรีคิกที่สุดเส้นหลังนอกกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายในนาที 80 บอลชุลมุนอยู่ในเขตโทษก่อนที่จังหวะสุดท้ายเป็น เจสัน พันเชียน ที่ได้บอลเตรียมกระชากไปเล่นเกมรุก เอเลียเควียม ม็องกาลา วิ่งตามมารวบขาจนโดนใบเหลือง และเกมชะงักไปสองสามนาที

ท้ายเกมอึดอัด แต่พาเลซ ซาฮา เปิด ดไวท์ เกย์ล เหยียดขาหวังเปลี่ยนทางบอลแต่สุดเท้าแล้วโดยบอลไม่ดีทำให้ลูกไม่เข้ากรอบ

นาทีที่ 90 ทีมเยือนได้ประตูจาก เคเลชิ อิเฮอานาโช ตัวสำรองวัย 18 ที่เพิ่งลงมาไม่ถึงสองนาที

ก่อนเสียงนกหวีด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงกดดันแม้จะนำอยู่ แต่ไม่มีใครทำอะไรเพิ่มเติมได้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ คริสตัล พาเลซ ไปได้ด้วยสกอร์ 0-1

รายชื่อ 11 ตัวจริง
คริสตัล พาเลซ : อเล็กซ์ แม็คคาร์ธี , เบรเด ฮังเกลันด์ , สกอตต์ แดนน์ , ปาเป ซูอาเร , มาร์ติน เคลลี , โยฮัน กาบาย , ยานนิค โบลาซี , วิลฟรีด ซาฮา , เจมส์ แม็คอาร์เธอร์ , เจสัน พันเชียน , บาการี ซาโก
แมนฯ ซิตี : โจ ฮาร์ท , บาการี ซานญา , แว็งซ็องต์ กอมปานี , อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ , เอเลียควิม ม็องกาลา , ซาเมียร์ นาสรี , เฆซุส นาบาส , แฟร์นันดินโญ , ยาย่า ตูเร , เซร์คิโอ อกูเอโร , วิลฟรีด โบนี
Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...

คลังคลิปไฮไลท์

ป้ายกำกับ

ข่าวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (360) ข่าวสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (98) พรีเมียร์ลีก 2011/2012 (87) แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (66) พรีเมียร์ลีก 2010/2011 (58) พรีเมียร์ลีก 2015/2016 (48) ลิเวอร์พูล (33) อาร์เซนอล (30) พรีเมียร์ลีก 2012/2013 (29) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (29) เชลซี (27) ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ส (26) สโต๊ค ซิตี้ (26) นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (24) แอสตัน วิลล่า (23) เอฟเวอร์ตัน (21) เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (20) ฟูแล่ม (18) นอริช ซิตี้ (17) ฟุตบอลอุ่นเครื่อง/กระชับมิตร (17) สวอนซี ซิตี้ (17) ซันเดอร์แลนด์ (16) พรีเมียร์ลีก 2014/2015 (16) วีแกน (16) แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส (14) โบลตัน (14) UEFA (13) วูล์ฟแฮมป์ตัน (13) ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส (12) เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (11) เซาธ์แฮมป์ตัน (9) เลสเตอร์ ซิตี้ (7) วัตฟอร์ด (6) เบอร์มิงแฮม ซิตี้ (6) แบล็คพูล (6) คริสตัล พาเลส (5) พรีเมียร์ลีก 2016/2017 (5) เอเอฟซี บอร์นมัธ (5) พรีเมียร์ลีก 2013/2014 (4) เรดดิง (4) บาร์เซโลนา (3) ชาลเก้ 04 (2) วาเลเรนกา (2) LEAGUE CUP (1) กลาสโกว์ เรนเจอร์ (1) กว่างตง (1) กาลาตาซาราย (1) คลิปในตำนานแมนยูฯ (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2010/2011 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2011/2012 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2012/2013 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2013/2014 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2015/2016 (1) ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก 2016/2017 (1) นิวยอร์ค คอสมอส (1) บาเลนเซีย (1) พีเอสวี (1) ฟุตบอลเอฟเอ คัพ (1) ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก (1) รีล มาดริด (1) อิปสวิช ทาวน์ (1) เบิร์นลี่ย์ (1) เอฟเอ คัพ (1) แอธเลติก บิลเบา (1) โคโลญจน์ (1) โวล์ฟบวร์ก (1) ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน (1)
ขับเคลื่อนโดย Blogger.